“ครอบครัวเราก็มีสองขา ทำมาหากินด้วยกัน พอถูกจับไปหนึ่งคนนี่ตะแคงล้มคว่ำเลย ข้าวสารก็ไม่มี ไร่ที่จะไปถางก็ไม่มี ใครจะดูแลลูก? แล้วถ้าดูแลลูกงานข้างนอกก็ไม่ได้ การศึกษาก็ต้องใช้ทุนต้องเสียเงิน มันก็เป็นวิกฤติของครอบครัว นโยบายที่ไม่แยกแยะและไม่เข้าใจ อย่างแม่ฮ่องสอนนี่แปดสิบกว่าชุมชนคือผิดกฎหมายหมด ถ้าจะจับเราก็จะเจอเหตุการณ์ตกทุกข์เช่นนี้เรื่อยๆ ทั้งที่มันไม่ควรจะเป็น”
คำพูดซึ่งบ่งบอกน้ำเสียงและท่าที “อึดอัดคับข้องใจ” จากเสียงสะท้อนของ พฤ โอโดเชา ผู้ประสานงานเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง)กล่าวกับ “สกู๊ปแนวหน้า” เมื่อครั้งติดตามคณะของ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.แม่ฮ่องสอน ระหว่างวันที่ 19-23 เม.ย. 2559 ที่ผ่านมา ถึงผลกระทบที่กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับจากนโยบายของภาครัฐที่ต้องการปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่า
พฤ ยกตัวอย่าง “การใช้ไม้สักสร้างบ้าน” ซึ่งสำหรับชาวกะเหรี่ยงแล้ว “บ้านไม้สักมีความหรูหราน้อยกว่าบ้านอิฐและปูน” เพราะไม้สักนั้นหาได้ง่ายจากในพื้นที่ โดยชาวบ้านจะค่อยๆ เก็บสะสมไม้ไว้ครั้งละท่อนสองท่อน เฉลี่ยแล้วต้องใช้เวลาราว 5 ปีขึ้นไป จึงมีไม้เพียงพอที่จะเริ่มลงเสาขึ้นโครงบ้านได้สักหลังหนึ่ง แต่ก็ยังใช้ทุนในการก่อสร้างไม่มากนักเมื่อเทียบกับบ้านที่สร้างจากอิฐและปูน
ตรงกันข้ามกับ “คนเมือง” ที่มองว่า “บ้านไม้สักคือบ้านของคนร่ำรวย” มีระดับมากกว่าบ้านอิฐและปูน!!!
“คนปกาเกอะญอนะ เขาถือว่าถ้าบ้านไหนมีซีเมนต์ (Cement-ปูนที่ใช้สำหรับก่อสร้างอาคาร) แสดงว่าบ้านนั้นรวยกว่า ถ้าคนไหนสร้างบ้านด้วยไม้ คนนั้นน่ะจนกว่า เพราะซีเมนต์เราต้องไปขนมาจากในเมือง เสียค่าขนส่ง ต้องใช้ความชำนาญในการฉาบปูนมากเลย แล้วมั่นคงกว่าไม้สักด้วยเพราะปลวกกินไม่ได้ ในความคิดชาวบ้านน่ะปูนคือสุดยอดกว่าแต่คนในเมืองกลับมองว่าไม้สักแพงกว่า” ผู้ประสานงานกลุ่มชาติพันธุ์รายนี้ ระบุ
อย่างไรก็ตาม พฤ ยอมรับว่าในพื้นที่ก็มีคนบางส่วนที่“ลักลอบตัดไม้” โดยเฉพาะไม้สักไปขายให้กับคนภายนอกอยู่จริง ดังนั้น จึงฝากให้เจ้าหน้าที่รัฐ “แยกแยะ” ระหว่างสุจริตชนธรรมดาที่นำไม้มาปลูกบ้านอยู่อาศัยกับผู้กระทำผิดที่มีเจตนานำไม้ไปขาย ซึ่งเชื่อว่า “ไม่ยาก” หากตั้งใจจะทำอย่างจริงจังแบบไม่เหวี่ยงแห
“ชาวบ้านรู้ คนพื้นที่รู้ ถ้าภาครัฐเขามาหากรรมการชุมชน ใช้อำนาจถามเอาหน่อยว่าเป็นใครบ้าง แล้วก็กรองกันไปว่าใครบ้างที่ทำไม้ขาย เดี๋ยวมันก็โผล่ออกมา” พฤ กล่าวย้ำ
ไม่เพียงแต่กลุ่มชาติพันธุ์เท่านั้น แม้แต่ชาวบ้านทั่วๆ ไปที่ตั้งถิ่นฐานและทำการเกษตรอยู่ใกล้พื้นที่ป่ามาเป็นเวลานาน ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” ของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีประกาศออกมา 2 ฉบับ คือ ประกาศ คสช. ฉบับที่ 64/2557 และ 66/2557 แม้จะมีการกำชับว่า “ต้องไม่ทำให้ชาวบ้านที่ดำรงชีพเล็กๆ น้อยๆ ได้รับความเดือดร้อน” แต่ในทางปฏิบัติพบว่าเจ้าหน้าที่รัฐยังดำเนินการทำลายพืชผลทางการเกษตร รวมถึงขับไล่และฟ้องร้องคดีกับประชาชนที่อยู่ใกล้พื้นที่ป่าแบบเหมารวมอยู่เสมอ
แม้หลายชุมชนในหลายพื้นที่..จะอยู่มาก่อนมีการประกาศพื้นที่ป่าสงวน-อุทยานแห่งชาติก็ตาม!!!
ประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กล่าวว่า ข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้าน กรณี “คนกับป่า” เป็นสิ่งเกิดขึ้นมาช้านาน เพราะนโยบายของภาครัฐไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน เช่น ก่อนหน้านี้มีความพยายามผลักดันให้เกิด “โฉนดชุมชน” กระทั่งเคยออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีมาแล้วในปี 2553 ว่าด้วยการให้สิทธิประชาชนในรูปของชุมชนส่วนรวม ไม่ใช่ปัจเจกชนคนใดคนหนึ่งใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพื่อทำกินดำรงชีพ พร้อมกับชุมชนจะมีหน้าที่ที่ต้องรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้นๆ ด้วย
แต่รัฐบาลปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น “นาแปลงรวม” ซึ่งประชาชนกังวลกับ “เงื่อนไขที่ไม่แน่นอน”!!!
“หลักการของโฉนดชุมชนคือการรองรับสิทธิ์ของชุมชน ให้ชุมชนร่วมกันบริหารจัดการและใช้ประโยชน์จากที่ดิน แต่หลักแปลงรวมของ คสช. บอกว่าเป็นการอนุญาตให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในที่ดินร่วมกัน ใช้ประโยชน์แต่ไม่ได้บอกให้บริหารจัดการ อนุญาตกับการรองรับสิทธิ์นี่ต่างกันนะ อนุญาตนี่สิทธิ์ยังอยู่ที่ป่าไม้นะ เขาจะยกเลิกหรือกำหนดหลักเกณฑ์อย่างไรก็ได้แต่ถ้ารองรับสิทธิ์บริหารจัดการของชุมชนก็จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขหนึ่งห้ามขยายพื้นที่ออกไป สองห้ามขายพื้นที่นี้ให้กับคนภายนอก ถ้าทำไม่ได้ก็โดนยกเลิกสิทธิ์ ชุมชนเขาก็จะต้องบริหารจัดการให้ได้”
ประยงค์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีข้อเสนออื่นๆ เช่น ดำเนินนโยบายอย่างเป็นธรรม อาทิ พื้นที่ใดที่มีชุมชนอยู่อาศัยมาก่อนใช้นโยบายเขตป่าสงวนในปี 2545 ซึ่งมีการใช้ภาพถ่ายทางอากาศเป็นครั้งแรก ให้รับรองสิทธิ์ของชุมชนนั้นทันที, พื้นที่ใดที่พบว่ามีชุมชนมาตั้งแต่ปี 2545-2554 ซึ่งมีการใช้ภาพถ่ายทางอากาศเป็นครั้งที่สอง ให้ใช้ประโยชน์ต่อไปได้ภายใต้เงื่อนไข “เกษตรแบบยั่งยืน” ห้ามปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ทำลายระบบนิเวศน์
ส่วนพื้นที่ที่พบหลังจากปี 2554 ให้ถือว่าเป็นพื้นที่บุกรุกต้องได้รับการฟื้นฟูเป็นป่าธรรมชาติ โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมดูแล รวมถึง ดำเนินการตามสภาพความเป็นจริงเช่น จังหวัดใดที่มีพื้นที่ป่าถึงร้อยละ 40 หรือมากกว่า ตามเป้าหมายของ คสช. อยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปดำเนินการใดๆ อีก
จากปัญหาที่เกิดขึ้น เตือนใจดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า ที่ผ่านมา กสม. ทุกชุด มีนโยบายส่งเสริมและผลักดัน “สิทธิ์ของชุมชน” มาโดยตลอด โดยเฉพาะประเด็น “การมีส่วนร่วม” ของภาคประชาชนในการบริหารจัดการทรัพยากร “ดิน-น้ำ-ป่า”ซึ่ง กสม. จะมีกำหนดการร่วมหารือกับ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) เกี่ยวกับนโยบายทวงคืนผืนป่า ในวันที่ 29 เม.ย. 2559 นี้
“นโยบายทวงคืนผืนป่าโดยเจตนารมณ์แล้วเป็นสิ่งที่ดี เพราะท่านนายกเองก็ได้ไปประชุมที่สหประชาชาติเมื่อปลายปี 2558 ว่าด้วยสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการใช้ทรัพยากรที่ยั่งยืน ท่านนายกได้ออกคำสั่งที่ 64 และ 66 ซึ่งคำสั่ง 66 นั้นบอกว่าต้องไม่กระทบต่อคนจนผู้ยากไร้ แต่การตีความและปฏิบัติอาจทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ซึ่ง 29 เมษานี้ ทางอนุสิทธิชุมชนก็ได้เชิญ กอ.รมน. มาหารือเรื่องนโยบายทวงคืนผืนป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรทั่วประเทศเลย น่าจะมีแนวทางอื่นที่ไม่ใช่การตัดฟันพืชผลที่ชาวบ้านปลูก แต่อาจจะถือว่าพืชผลนั้นเป็นของรัฐแต่ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มต้นไม้ไม่ใช่ทำลายต้นไม้” กก.สิทธิฯ กล่าวทิ้งท้าย
แม้จะเข้าใจได้ว่าป่าไม้เป็นทรัพยากรสำคัญที่ต้องอนุรักษ์ แต่แนวทางปฏิบัติของภาครัฐมักไม่ค่อยแยกระหว่าง “นายทุนรายใหญ่” กับ “ชาวบ้านตัวเล็กๆ” อีกทั้งไม่เข้าใจวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้กับพื้นที่ป่า และมักกล่าวหาว่าคนกลุ่มนี้ “ทำลายสิ่งแวดล้อม” อยู่เสมอ ซึ่งการเปลี่ยนแนวทางเน้นคัดกรองให้มากขึ้นน่าจะดีกว่า
เพราะจะเป็นการ “คืนความสุข” ให้กับประชาชนดังเป้าหมายของ คสช. และรัฐบาลอย่างแท้จริง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี