พฤษภาคม..เดือนนี้มีวันสำคัญหลายวัน หนึ่งในนั้นคือ“วันแรงงาน” 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันที่มีขึ้นเพื่อให้คนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของคนทำงานทุกสาขาอาชีพในฐานะ “ฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ” ซึ่งในแต่ละปี ภาคีเครือข่ายแรงงานในภาคส่วนต่างๆ ตลอดจนสถาบันทางวิชาการ จะมีการรายงานสถานการณ์ความเป็นอยู่ของแรงงานประจำปีรวมถึงข้อเรียกร้องถึงภาครัฐ รวมถึงภาคเอกชนผู้เป็นนายจ้าง
ว่าควร “ปรับปรุง-พัฒนาคุณภาพชีวิต” แรงงานอย่างไรบ้าง!!!
ในปีนี้ก็เช่นกัน..สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “จับตาสถานการณ์ความสุขคนทำงานในประเทศไทย 2558” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำการศึกษาคุณภาพชีวิตคนทำงานในประเทศไทย ตลอดปี 2558 ที่ผ่านมา
พบว่า..คนกลุ่มที่น่าห่วงคือ “เจนวาย” (Gen Y) หรือผู้มีอายุตั้งแต่ 25-34 ปี ซึ่งเป็น “คนรุ่นใหม่” ที่เพิ่งเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ประสบปัญหา “ไม่มีเงินออม” ถึงร้อยละ 50 หรือ “ครึ่งหนึ่ง” ของประชากรแรงงานในกลุ่มนี้, ร้อยละ 48 หรือ “เกือบครึ่ง” ประสบปัญหา “จ่ายหนี้ไม่ตรงเวลา”, ร้อยละ 45
คิดว่าตนเอง “มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ” และร้อยละ 45.6มองว่าการผ่อนชำระหนี้สินต่างๆ เป็นภาระหนักมาก
ความรู้สึกเหล่านี้ “สูงกว่าคนทำงานวัยอื่นๆ” อย่างมีนัยสำคัญ!!!
จิตติ วิสัยพรม และ สุรารัตน์ พวงจำปา 2 นักวิจัยผู้ทำการสำรวจในหมวด “มิติด้านสุขภาพเงินดี” อธิบายว่า ความรู้สึกและความตรงต่อเวลาต่อการผ่อนชำระหนี้สิน ความรู้สึกต่อรายรับรายจ่ายของตนเอง และการมีเงินออมเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการเงินของแต่ละคน และยังสะท้อนให้เห็นถึงวินัยการใช้จ่ายทางการเงินของแต่ละคนอีกด้วย
จากสถานการณ์การเงินข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า“กลุ่มคนทำงานเจนวาย เป็นกลุ่มที่มีสุขภาพทางการเงินไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงินออม” ที่เป็นการสร้างนิสัยและความตระหนักของวินัยการบริหารจัดการการเงิน อย่างไรก็ตาม คนเจนวาย เป็นช่วงอายุของการเริ่มต้นในหลายๆ ด้าน เช่น การเริ่มต้นชีวิตการทำงาน หรือแม้กระทั่งการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวของตนเอง
ดั้งนั้นการฝึกวินัยตัวด้านการบริหารจัดการเงิน..จึงเป็นสิ่งที่คนทำงานวัยนี้ต้องรับมือ!!!
นอกจากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินแล้ว “สุขภาพ” ก็น่าห่วงไม่แพ้กัน รศ.ดร.สุรีย์พร พันพึ่ง และ ผศ.ดร.กาญจนา ตั้งชลทิพย์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาโดยใช้ข้อมูลการสำรวจความสุขคนทำงานแห่งประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2555-2558ในหมวด “การรับประทานอาหารเช้า” ซึ่งพบข้อน่าสนใจหลายประการ อาทิ..
1.ผู้ชายรับประทานอาหารเช้าทุกวันมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายรับประทานอาหารเช้าทุกวันถึงร้อยละ 53.7 ขณะที่ผู้หญิงรับประทานอาหารเช้าทุกวันน้อยกว่าเล็กน้อย คือร้อยละ 49.3 ซึ่งสาเหตุอาจมาจากตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงต้องให้เวลากับการดูแลครอบครัว จึงไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับตนเองในการรับประทานอาหารเช้า รวมถึงอาจเป็นเพราะผู้ชายไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงรูปร่างมากนัก เทียบกับผู้หญิงที่ตั้งใจจำกัดอาหารเพราะกลัวอ้วน เป็นต้น
2.ผู้สูงอายุรับประทานอาหารเช้าทุกวันมากกว่าคนหนุ่มสาว คนทำงานอายุระหว่าง 55-60 ปีขึ้นไป รับประทานอาหารเช้าทุกวันมากที่สุด คือร้อยละ 57.8 ขณะที่กลุ่มคนทำงานอายุระหว่าง 18-24 ปี มีสัดส่วนของคนที่รับประทานอาหารเช้าทุกวันเพียงร้อยละ 36.5 โดยสาเหตุน่าจะมาจากการที่เมื่ออายุมากขึ้นก็ยิ่งให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น อาจด้วยเริ่มตระหนักถึงการมีชีวิตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ หรืออาจมาจากประสบการณ์ด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่ออายุมากขึ้นก็ได้
3.องค์กรต้นสังกัดมีผลต่อการรับประทานอาหารเช้า พบว่า คนทำงานในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจรับประทานอาหารเช้าทุกวันถึงร้อยละ 64.8 ขณะที่คนทำงานในภาครัฐ (หน่วยงานราชการ) และภาคเอกชน รับประทานอาหารเช้าทุกวันเพียงร้อยละ 46.8 เท่านั้น สาเหตุน่าจะมาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจมักจะมีร้านค้าสวัสดิการภายในองค์กร
4.ลักษณะการจ้างงานมีผลต่อการเห็นความสำคัญของอาหารเช้า พบว่า คนทำงานที่ได้รับการจ้างงานเป็นรายวัน-งานเหมาตามสัญญา รับประทานอาหารเช้าทุกวัน ร้อยละ 53.4 มากกว่าคนทำงานที่มีการจ้างงานในลักษณะอื่น (จ้างประจำเป็นเงินเดือน และจ้างตามช่วงเวลา) ที่รับประทานอาหารเช้าทุกวันเพียงร้อยละ 44-48 สาเหตุคาดว่าอาจเป็นเพราะคนทำงานรายวันเห็นความสำคัญของอาหารเช้า เพราะต้องใช้แรงกายในการทำงานในแต่ละวันเพื่อแลกกับค่าตอบแทน “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” จึงต้องการพลังงานจากอาหารอย่างมาก
โดยเฉพาะอาหารเช้าซึ่งถือเป็น “มื้อสำคัญที่สุด” ของวัน!!!
อีกด้านหนึ่ง ผศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยผลสำรวจในหมวด “ภาพสะท้อนความผูกพันองค์กรผ่านระดับความสุขคนทำงานในประเทศไทย” พบว่า “2 ใน 5”ของคนทำงาน หรือร้อยละ 42.2 “สุขน้อยและอยากลาออก” มากกว่ากลุ่มที่ “สุขมากและอยากทำงานอยู่ที่เดิมต่อไป” ซึ่งมีเพียงร้อยละ 31.6 เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มที่น่าห่วงคือ “ถึงสุขน้อยแต่ยังอยากทำงานอยู่ที่เดิมต่อไป” โดยมีแรงงานกลุ่มนี้อยู่ร้อยละ 11.8 และปิดท้ายด้วยกลุ่ม “ถึงสุขมากแต่ก็ยังอยากลาออก” ที่มีอยู่ร้อยละ 14.4
ผศ.ดร.เฉลิมพล ฝากไปยังผู้ประกอบการถึงข้อค้นพบจากการสำรวจนี้ว่า 1.กลุ่มสุขน้อยและอยากลาออก ต้องทำให้คนทำงานรู้สึกมีความสุขอย่างตรงจุดและตรงใจเพื่อลดความต้องการลาออก 2.กลุ่มสุขน้อยแต่ยังอยากทำงานอยู่ ต้องสร้างความรักความผูกพันองค์กรให้เกิดกับคนทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าคนทำงานอยู่กับองค์กรด้วยความรักความผูกพัน นำมาซึ่งความต้องการทุ่มเททำงานให้องค์กร ไม่ใช่อยู่ไปวันๆ เพราะไม่มีที่ไปเท่านั้น และ 3.กลุ่มสุขมากและยังอยากจะทำงานต่อไป กลุ่มนี้ต้องรักษาไว้ให้ดี
เพราะเป็นบุคลากรที่ “ทุ่มเท” ทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มที่!!!
จากผลสำรวจนี้ ทำให้เห็นภาพว่าตลอด 1 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์แรงงานไทยเป็นอย่างไรกันบ้าง ซึ่งการที่คุณภาพชีวิตของคนทำงานจะดีขึ้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมกัน เช่น ประเด็นวินัยทางการเงินระดับบุคคล รายงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หัวข้อ “วาระปฏิรูปที่ 13 : การปฏิรูปการเงินฐานรากและสหกรณ์ออมทรัพย์ : แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน” เผยแพร่เมื่อเดือน ส.ค. 2558 ระบุว่า “คนไทยร้อยละ 70 มีความรู้ด้านวินัยทางการเงินค่อนข้างต่ำ” จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐว่าจะให้ความรู้กับประชาชนอย่างไร?
ขณะที่เรื่องสุขภาพอย่างการรับประทานอาหารเช้า รวมถึงความสุขในการทำงาน เป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องหาแนวทางที่เอื้อให้พนักงานสามารถรับประทานอาหารเช้า อันมีการยืนยันในทางสาธารณสุขแล้วว่าเป็นมื้อสำคัญที่สุดได้ตรงเวลา และสร้างบรรยากาศให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุข ขณะเดียวกันแรงงานเองก็ต้องใส่ใจกับสุขภาพ เพราะร่างกายที่แข็งแรงย่อมทำงานได้ดีกว่าร่างกายที่เจ็บป่วย รวมถึงพัฒนาศักยภาพของตนเอง ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพราะถ้าองค์กรยังอยู่ได้-มีผลประกอบการดี รายได้และสวัสดิการของคนทำงานก็จะดีไปด้วย
นี่คือโจทย์ที่ต้องทำร่วมกัน..เพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิต รวมถึงพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี