“คน กับ ช้างป่า”....
ดูจะเป็น “คู่ขัดแย้ง” ที่ปะทะกันมานาน หลายพื้นที่ปัญหาส่อเค้ารุนแรง เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน อันเนื่องมาจากการ “เผชิญหน้า” มากยิ่งขึ้น
นี่ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่ “เรื้อรัง” มานานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะในพื้นที่ “ป่าอนุรักษ์” ซึ่งชาวบ้านต้องเผชิญกับปัญหาที่เกินกว่าจะแก้ไขได้เพียงลำพัง ที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนพยายาม “แสวงหา” แนวทางลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
“ล้มเหลว” บ้าง...
“สำเร็จ” บ้าง...
ตัวอย่างของการตรากตรำทำงานที่บรรลุผล จนช่วยให้ “คน...ช้างป่า อยู่ร่วมกันได้” คือ “อุทยานแห่งชาติกุยบุรี” จ.ประจวบคีรีขันธ์!!!
“ผืนป่ากุยบุรี” มีเนื้อที่ 605,625 ไร่ หรือราว 969 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมเขต อ.เมือง, ปราณบุรี, สามร้อยยอด และกุยบุรี เดิมเคยเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่ปลูก “สับปะรด” จำนวนมาก ซึ่งการบุกรุกป่าเพื่อทำไร่สับปะรดของชาวบ้าน“ผู้มาเยือน” ทำให้ช้างป่า “เจ้าของบ้าน” ถูกรุกราน แหล่งอาหารถูกทำลาย ส่งผลให้ช้างป่าที่อาศัยอยู่ต้องกลายเป็นดั่ง “โจร” บุกเข้าไปหาอาหาร และทำลายไร่สับปะรดของชาวบ้านเพื่อความ “อยู่รอด” จึงเป็นที่มาของความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างมาอย่างยาวนาน
ทว่า...ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทำให้ปัจจุบันปัญหา “ช้างป่า...กุยบุรี” ลดน้อยลง จนกลายเป็น “โมเดล” การแก้ไขปัญหาให้กับพื้นที่อื่นๆ ซึ่ง “หัวใจ”หลักของการแก้ไขปัญหา คือ “สร้างป่า” ให้อุดมสมบูรณ์
“พล.ต.ชวลิต พงษ์พิทักษ์” ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 16(ผบ.มทบ.16) ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง “มูลนิธิช้างป่าบ้านพ่อ” กล่าวอย่างมั่นใจว่า ทุกวันนี้ผืนป่ากุยบุรีปราศจากความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี 13 องค์กรทั้งจากท้องถิ่น ภาครัฐ เอกชน และทหาร ที่ “บูรณาการ”ความร่วมมือศึกษาและวางแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยเริ่มจากการ “กระชับพื้นที่” คือ รวบรวมหมู่บ้านของชาวบ้านที่กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่มารวมกันไว้ให้เป็นกลุ่มก้อน แล้วตั้งเป็น “หมู่บ้าน ตชด.” ป้องกันตนเองตามแนวชายแดน จากนั้นทหารและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงเข้ามาช่วยจัดการป่า และ “ปรับทัศนคติ”
“เราปลูกฝังให้ชาวบ้านกับช้างอยู่ร่วมกันได้ โดยให้ชาวบ้านคิดใหม่ว่าช้างไม่ใช่ส่วนเกิน แต่ให้คิดเสียว่าคนต่างหากที่เป็นผู้บุกรุก เพราะถ้ายังตั้งโจทย์ว่าช้างคือส่วนเกิน ชาวบ้านจะเริ่มตั้งขอบเขตจำกัดช้าง กั้นรั้วรอบขอบชิดต่างๆ เพื่อไม่ให้ช้างเข้ามาทำมาหากินในบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้าน ทั้งๆที่เป็นพื้นที่เหล่านั้นเป็นบ้านเดิม เป็นแหล่งอาหารของช้าง นอกจากนี้ยังให้ชาวบ้านคืนอาวุธที่มีไว้เพื่อล่าสัตว์ และให้งดล่าสัตว์ป่าอย่างเด็ดขาดเพื่อสร้างป่าให้อุดมสมบูรณ์ ซึ่งชาวบ้านให้ความร่วมมืออย่างดี”
“ผบ.มทบ.16” กล่าวอีกว่า เมื่อปรับทัศนคติให้ชาวบ้านมอง “ช้าง คือ มิตรสหาย” แล้ว จากนั้นเครือข่ายความร่วมมือจึงวางแนวทาง “สร้างป่า” ให้อุดมสมบูรณ์ เพราะการที่จะให้ช้างป่าอยู่ในป่า ไม่ออกมา“เกเร” ชาวบ้านนั้นต้องทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์ก่อน หลักการง่ายๆ คือ สร้างความชุ่มชื้นให้ป่า จึงได้ร่วมกับชาวบ้านสร้าง “ฝายชะลอน้ำ” และปลูกพืชที่เป็นอาหารของช้างเอาไว้ภายในป่านั่นเอง โดยจากการปรึกษากับ “นักพฤกษาศาสตร์” ทราบว่า ประเทศไทยมีพืชที่เป็นอาหารช้างป่า 80 ชนิด และในป่ากุยบุรีมีอยู่ 32 ชนิด เมื่อถึงฤดูเพาะปลูกทหารและชาวบ้านจะ “แบกเป้” เข้าป่าไปปลูกพืชเหล่านี้ให้กับช้างป่า โดยไม่ค้างคืน เพราะ “กลิ่นตัว” ของมนุษย์ จะทำให้ช้างป่า“ระแวง” ไม่กล้ากลับเข้ามาในพื้นที่อีก
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ช้างป่าอยู่อย่างมีความสุข เพราะนอกจากป่ากุยบุรีจะเป็นดั่ง “อู่ข้าว” แล้ว ยังเป็นดั่ง“อู่น้ำ” ด้วย โดยชาวบ้าน ทหารและหน่วยงานเครือข่าย ได้ร่วมกันสร้างแหล่งเก็บน้ำให้สัตว์ป่าไว้ดื่มกิน หรือที่เรียกว่า“กระทะน้ำ” มีลักษณะคล้ายกระทะ สร้างด้วยคอนกรีต โดยกระทะน้ำนั้นจะมีเจ้าหน้าที่คอยเติมน้ำให้สัตว์ป่า ในช่วงฤดูแล้งจะต้องเติมน้ำถี่หน่อย ส่วนน้ำที่นำไปให้สัตว์ป่าดื่มนั้นนำมาจาก “ต้นน้ำ” ที่ปราศจากสารเคมี และไม่ปนเปื้อนสารพิษจากการทำเกษตรกรรมของชาวบ้าน โดย “กระทะน้ำ...กุยบุรี” เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ เพราะถือเป็นเป็นแห่งที่ 2 ของโลก ต่อจากประเทศอินเดีย
“ที่ชาวบ้านเข้ามาช่วยทหาร เพราะเราบอกว่าชาวบ้านคนไหนได้ประโยชน์จากป่าจะต้องจ่าย ไม่ใช่จ่ายเป็นตัวเงิน แต่ให้จ่ายเป็นการลงแรง คือ ให้ไปร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างป่าให้อุดมสมบูรณ์ ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งกุศโลบาย เพราะชาวบ้านจะได้ร่วมกิจกรรมกับเจ้าหน้าที่เป็นการสร้างความสามัคคีอีกด้วย เพราะกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการปลูกพืชจะใช้แรงคน ไม่ใช้เครื่องจักร”
“พล.ต.ชวลิต” กล่าวอีกว่า ไม่เพียงแต่ปลูกพืช เรายังทำ “โป่งเทียม” ด้วย ซึ่งจากการติดตั้งกล้องเพื่อสอดส่องพฤติกรรมช้างป่า พบว่า ในยามเช้าจะพบเห็นช้างป่ามีอารมณ์ร่าเริงเมื่อได้กิน “ดินโป่ง” ด้วย เมื่อการ “ฟื้นฟู-สร้างป่า” ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว เครือข่ายความร่วมมือจึงร่วมกัน “ขยายพันธุ์” สัตว์ป่า โดยปัจจุบัน “ลูกช้าง-กระทิง” เพิ่มปริมาณอยู่ตลอดเวลา เพราะการขยายพันธุ์ประสบความสำเร็จ ซึ่งแนวคิดต่อไป คือ วางแผนที่จะ “เชื่อมป่า” ให้มีอาณาเขตกว้าง เพื่อให้สัตว์ป่าในป่ากุยบุรีได้ข้ามไปผสมพันธุ์กับสัตว์ป่าฝูงอื่นๆ เพื่อให้สายพันธุ์มีความแข็งแรง และหลากหลายขึ้น
ผบ.มทบ.16 กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยแนวทางทั้งหมดข้างต้น ทำให้ปัจจุบันนี้ชาวบ้านสามารถอยู่ร่วมกับ “ช้างป่า” และสัตว์ป่าชนิดอื่นๆได้อย่างมีความสุข อีกทั้งยังช่วย “สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ให้กับชาวบ้านในเขตป่ากุยบุรี ที่มีอาชีพเสริมจากการนำนักท่องเที่ยวเข้าชมอุทยานฯ เพื่อชมช้างป่า หรือกระทิง เกิดเป็น “ชมรมท่องเที่ยวกุยบุรี” ที่จัดทัวร์เล็กๆนำนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมผืนป่าที่ชาวบ้านร่วมใจ “สร้าง” ขึ้นมา
ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า และความ “เข้าใจ” ใหม่ของชาวบ้านนี่เองที่ทำให้ผืนป่ากุยบุรี ไม่จำเป็นต้องมี“รั้ว” กั้นเขตแดนระหว่าง “คน กับ ช้างป่า” ทำให้“แขกผู้มาเยือน-เจ้าของบ้าน” ตัวจริง อยู่ร่วมกันได้อย่างค่อนข้างสงบสุข!!!
สิทธิชัย สันหนู
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี