“บ้าใบ”...
หรือการปลูกฝังค่านิยมผิดๆที่คิดว่า “ปริญญา” เป็นใบเบิกทาง “สู่...ฝัน” เป็น “รากลึก” ของปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของไทยที่ยังแก้ไม่ตก ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีนิสิตนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ก้าวเข้าสู่ “รั้วมหาวิทยาลัย” เพียงหวัง “กระดาษ” แผ่นเดียว มากกว่า “วิชาการ” ที่จะได้รับ...
ยิ่ง “จบเร็ว” เท่าไรยิ่งดี!!!
“ค่านิยม” ข้างต้นเป็นช่องทางให้สถาบันการศึกษาบางแห่ง ที่มุ่งหวังเพียงปริมาณมากกว่าคุณภาพ สบโอกาสเปิดหลักสูตร “จบเร็ว” เพื่อ “ดูด” ค่าหน่วยกิตจาก“ว่าที่บัณฑิต”...
ด่วน! เรียน ป.ตรี จบได้ภายใน 1 ปี...
เรียนสะดวก จบเร็ว ประหยัดกว่า...หรือ จ่ายครบจบแน่...
เป็นตัวอย่าง “โฆษณา” ติดข้างเสาไฟฟ้า ป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ หรือตามเว็ปไซต์ต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมา “ล่อใจ” ผู้ที่สนใจ หลายคนตัดสินใจ “ลงทะเบียน”เรียนตามคำชวนเชื่อโดยไม่รู้ว่าหลักสูตรนั้นๆอาจไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ได้รับการรับรองจาก “สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา” หรือ สกอ. และเป็นเพียง...
“ปริญญาโหล”!!!
“อาภรณ์ แก่นวงศ์” เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ “ปริญญาโหล” ทั้งจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนเข้ามาที่ สกอ.จำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง “มาตรฐานหลักสูตร” และสัดส่วนอาจารย์ผู้สอนที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ เช่น มีอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ควบคุมวิทยานิพนธ์ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือจัดการเรียนการสอนไม่เหมาะสม คือ ไม่มีห้องสมุด หรืออุปกรณ์การเรียนการสอนไม่พร้อม เป็นต้น ซึ่งถือว่าผิดตรงที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานที่ สกอ.กำหนด
“ตรงนี้เข้าข่ายหลอกลวง เพราะการเรียนการสอนไม่ได้มาตรฐาน ถือว่าไปหลอกให้ผู้เรียนเสียเงินค่าหน่วยกิต เหมือนเอาใบปริญญามาเป็นตัวล่อ ตรงนี้เป็นเทคนิคในการโฆษณาเชิญชวนให้มาเรียน โดยให้ข้อมูลไม่หมด ไม่ครบ”
เลขาธิการ กกอ. กล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆนี้ สกอ.เพิ่งได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีมหาวิทยาลัยบางแห่งในภาคเหนือ โฆษณาเกินจริงว่า “เรียนรัฐศาสตร์ 1 ปีจบ” เก็บค่าเล่าเรียน 188,000 บาท ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นต้องบอกว่า “ไม่จริง” เพราะต่อให้เป็นหลักสูตร “เทียบโอน” ก็ต้องใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 2 ปี จึงจะจบหลักสูตร ในกรณีเช่นนี้ถ้าพบว่าเป็นการเอาปริญญามาล่อให้เข้าเรียนโดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพ จำนวนหน่วยกิต และอาจารย์ผู้สอนไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ทาง สกอ.จะตักเตือน ถ้ายังไม่ปรับปรุงจะสั่ง“ปิดหลักสูตร”
“โฆษณาเรียนปริญญาตรี 1 ปีจบ หรือเรียนปริญญาโท 6 ปี ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ เพราะตามหลักสูตรแล้วการเรียนระดับปริญญาตรีต้องเรียน 120-150 หน่วยกิต จึงจะจบหลักสูตร ใช้เวลาเรียนมากกว่า 1 ปี การโฆษณาชวนเข้าเรียนโดยใช้ใบปริญญามาล่อถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงผิดกฎระเบียบที่ สกอ.วางไว้ คือ เราออกมาตรฐานไปแต่มหาวิทยาลัยไม่ทำตาม แบบนี้โทษขั้นหนัก คือ สั่งปิดหลักสูตร”
“เทียบโอน”...
เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ต้องทำความเข้าใจ ซึ่ง “อาภรณ์” บอกว่า หลักสูตรทุกระดับตั้งแต่ปริญญาตรี-เอก จะมีมาตรฐานกำหนดว่าเทียบโอนได้หรือไม่ เช่น วุฒิ ปวส. เมื่อมาเทียบโอนเรียนปริญญาตรี จากปกติที่ต้องเรียน 4 ปี จะเหลือ 2 ปี แต่หน่วยกิตระดับ ปวส.ที่จะเทียบโอนได้ ต้องตรงตามวิชาที่เรียนในหลักสูตรปริญญาตรี และ สกอ.จะมีเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรด้วยว่าผู้เรียนจะสามารถนำวิชาความรู้นั้นๆไปใช้ทำงานจริงได้มากน้อยเพียงใด
ไม่ใช่สักแต่จะมาเรียนให้จบๆ!!!
“บางสาขาวิชาจบมาแล้ว เอาวุฒิมาใช้ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเรียนไม่ครบหลักสูตรที่กำหนด ไม่ใช่ว่าเรียนมหาวิทยาลัยดังๆ จะรอด เพราะถ้าหลักสูตรไม่ได้มาตรฐานก็เป็นอันจบเห่”
เลขาธิการ กกอ. กล่าวอีกว่า มีมหาวิทยาลัยเพียงส่วนหนึ่ง “ลักลอบ” เปิดหลักสูตรที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ฝ่าฝืนกฎ สกอ. ซึ่ง สกอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะพยายามติดตามตรวจสอบ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค สกอ.ไม่อยากเห็นใครต้อง “เสียเงิน เสียเวลา” ไปฟรีๆ กับการเรียนที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ โดย “คุณภาพการศึกษา” ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เรียนกี่ปีจบ แต่อยู่ที่การจัดการเรียนการสอนมีคุณภาพเพียงใด บางแห่งจัดได้แค่ให้มีเรียน แต่ไม่มีคุณภาพ ทำให้บัณฑิตที่จบมาไม่มีคุณภาพตามไปด้วย
“สมมุติว่าเรียน 1 ปี 3 ปี 5 ปี หรือ 7 ปี ก็ไม่ได้มีคุณภาพขึ้นมาได้ เพราะการศึกษาขึ้นอยู่กับการเรียนการสอนรายวิชานั้นๆ จึงอยากฝากให้ทุกสถาบันมีความรับผิดชอบ จัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ เพราะกำลังคนที่จบระดับอุดมศึกษาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป”
ด้าน “สรนิต ศิลธรรม” รองเลขาธิการ กกอ. กล่าวว่าทุกเรื่องที่ร้องเรียนเข้ามานั้น ทาง สกอ.จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ และที่ผ่านมาพบว่ามหาวิทยาลัยที่มีปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการจัดการเรียนการสอนบางสาขา คณะ และมหาวิทยาลัยไม่ได้มาตรฐาน และไม่มีคุณภาพจริง ซึ่งทาง สกอ. จะตักเตือนไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อให้ปรับปรุงแก้ไขให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร
เขากล่าวด้วยว่า “รากลึก” ของปัญหาคุณภาพของมหาวิทยาลัย จนทำให้เกิดการร้องเรียนต่างๆเข้ามา เกิดจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลัก คือ การที่ประชาชนติดค่านิยมของใบปริญญา อยากได้ใบปริญญา เพราะมองว่าเป็นใบเบิกทางในการประกอบอาชีพ ขณะที่มหาวิทยาลัยมองแต่เรื่องคุ้มทุน จน “ละเลย” เรื่องคุณภาพ จึงอยากให้มหาวิทยาลัยคำนึงถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ เพิ่มสมรรถนะ และทักษะในการประกอบอาชีพ ดูแล “ลูกศิษย์” ให้เป็นคนดีของสังคม และช่วยพัฒนาประเทศชาติ
“ที่สำคัญอยากฝากเตือนไปยังผู้ปกครอง และนักเรียนทุกคนว่า ก่อนเลือกเรียนสาขา คณะ หลักสูตรของมหาวิทยาลัยใด ขอให้ตรวจสอบมายัง สกอ.ก่อน เพื่อจะได้มั่นใจว่าหลักสูตรที่จะเลือกเรียนมีคุณภาพ และได้รับการรับรองจาก สกอ.แล้ว”
คุณภาพการผลิตคนอยู่ที่ “จิตสำนึก” ของสถาบันการศึกษา เพราะถ้า “บัณฑิต” ซึ่งถือเป็นความคาดหวังของสังคมและประเทศชาติ ยังเป็นที่ “คลางแคลงใจ” ในเรื่องคุณภาพแล้ว สังคมและประเทศชาติจะพึ่งพากำลังคนในระดับนี้ หรือระดับอื่นได้อย่างไร สถาบันการศึกษาต้อง “จริงจัง...จริงใจ” ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา อย่ามุ่งเน้นเพียงเชิงปริมาณ
ไม่เช่นนั้น “ใบปริญญา” ที่ได้มา
คงเป็นแค่ “เศษกระดาษ” แปะข้างฝา!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี