“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวทางในการพัฒนาที่นำไปสู่ความสามารถในการ “พึ่งตนเอง” ระดับต่างๆ อย่างเป็นขั้นตอน ลด “ความเสี่ยง” เกี่ยวกับความผันแปรของธรรมชาติหรือการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่างๆ โดยอาศัย “ความพอประมาณ” และ “ความมีเหตุผล” บนเงื่อนไข “ความรู้” และ “คุณธรรม”
นี่คือ “หลักปรัชญา” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อให้รอดพ้นและดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแส “โลกาภิวัตน์” และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ จนกลายมาเป็นแนวทางปฏิบัติของผู้คนหลายภาคส่วน โดยเฉพาะ “เกษตรกร” ที่หลายรายประสบความสำเร็จ
หนึ่งในตัวอย่าง คือ “ลุงไข่” หรือ “ธรรมนูญจันทร์ภักดี” เกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพไร่นาสวนผสม จ.ระนอง ประจำปี 2553 ที่ “เดินตามรอยพ่อ” ทั้ง“พ่อหลวง” และพ่อผู้ให้กำเนิด
“ลุงไข่” ในวัย 58 ปี เล่าว่า บ้านเกิดเมืองนอนอยู่ จ.สุราษฎร์ธานี แต่ได้ย้ายมาทำสวนที่ อ.กระบุรี ระนอง มากกว่า 20 ปีแล้ว โดยทำ “เกษตรผสมผสาน” บนเนื้อที่ราว 30 ไร่ เพื่อต้องการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จึงปลูกพืชให้มีผลผลิตหลากหลาย โดยในสวนมีทั้งพืช ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชสมุนไพร เลี้ยงสัตว์และเลี้ยงปลา เช่น กาแฟ หมาก สะตอ ปาล์มน้ำมัน ลองกอง ผักเหลียง กลอย เป็นต้น นอกจากนี้ยังเลี้ยงหมู ไก่ และปลา ทำให้มีผลผลิตการเกษตรตลอดปี เพื่อลดความเสี่ยงจากด้าน“ราคา” ที่ไม่แน่นอน เพียงพอสำหรับกินในครอบครัวที่มีภรรยา และลูกอีก 2 คน ที่เหลือขายเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว ส่งลูกเรียนหนังสือ
“ทุกๆ เช้าตอนเด็กๆ ลุงจะตื่นมาช่วยพ่อทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ เป็นประจำ จึงสั่งสมประสบการณ์เรื่อยมา และพบว่าการใช้ปุ๋ยเคมีมีผลกระทบด้านลบต่างๆ กับตัวเรา และธรรมชาติ จึงเปลี่ยนมาทำเป็นเกษตรอินทรีย์ เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปถึงลูกหลาน”
ต่อมา “ลุงไข่” และชาวบ้านบางส่วนใน “บ้านบางพรวด” หมู่ 8 ต.ลำเลียง อ.กระบุรี ได้ร่วมกันตั้ง “วิสาหกิจชุมชนปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ” และทดลองทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้กับแปลงผัก ผ่านไปสักระยะก็เห็นผลเมื่อพบว่าผักมีสีสดงดงาม บวกกับดินที่ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จึงทำกันมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นไม่นาน “ลุงไข่” มีโอกาสได้ฟังวิทยุพูดถึงในหลวง จึง “จุดประกาย” แนวคิดที่จะดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง จึงเริ่ม “เดินตามรอยพ่อ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“ปกติลุงมีพ่อผู้ให้กำเนิดเป็นต้นแบบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพ การอนุรักษ์ เมื่อได้ฟังเรื่องราวของในหลวงก็ยิ่งมีพ่อหลวงเป็นอีกหนึ่งต้นแบบ โดยเฉพาะเรื่องความพอเพียงที่ลุงพบว่าตามรอยพ่อ คือ ความสุข จึงเริ่มเดินตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง โดยจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนบ้านบางพรวดขึ้นที่สวนของลุง กระทั่งปี 2553 ได้รับการยกระดับเป็นศูนย์เรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท จ.ระนอง”
ด้วยสภาพพื้นที่เป็น “เชิงเขา” ธรรมนูญ จึงได้ทำสวนเป็น “ขั้นบันได” เพื่อปลูกพืชและเพื่อความสะดวกในการขึ้นไปทำงานบนสวน นอกจากนั้นเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน “ลุงไข่” จึงนำแนวพระราชดำรัสของในหลวงมาใช้ โดยปลูก “แฝก...แนวกำแพงมีชีวิต” เพื่อดักตะกอน เศษพืช อินทรียวัตถุ ไม่ให้ไหลตามน้ำลงสู่ชั้นล่าง และลดความเร็วของกระแสน้ำ ลดการพังทลายของหน้าดินด้วย
นอกจากนี้ด้วยความที่สภาพพื้นที่ “ลาดชัน” เก็บกักน้ำไม่อยู่ “ลุงไข่” จึงสร้างบ่อเก็บน้ำขนาดบรรจุ 12,000 ลิตร บนเชิงเขาและวางระบบน้ำ ปล่อยน้ำให้พืชทั้งสวน และผสมปุ๋ยอินทรีย์น้ำด้วยเป็นการลดค่าใช้จ่าย ลดแรงงาน ส่งผลให้พืชเติบโตดี ผลผลิตดีตามไปด้วย โดยสวนเกษตรผสมผสานของ “ลุงไข่” เป็นสวนที่ “ปลอดปุ๋ยเคมี” เน้นหนักการทำปุ๋ยหมักใช้เอง
“ลุงไข่” มีการจัดการสวนและฟาร์มเป็น “เกษตรมิติใหม่”และจดทะเบียนการผลิตพืชตามระบบเกษตรดีและเหมาะสม หรือ GAP ซึ่งเป็นดั่ง “ใบรับประกัน” ถึงความปลอดภัยด้านอาหารกว่า 10 ชนิด เช่น มังคุด ลองกอง ทุเรียน กาแฟ หมาก ผักเหลียง เป็นต้น พืชผัก ผลไม้ จากสวนที่นี่จึงมั่นใจได้ว่า “ปลอดภัย ไร้สาร” 100% อีกทั้งการทำ “เกษตรผสมผสาน” ดังกล่าวยังช่วยให้ “รายได้” ของลุงไข่ และเพื่อนบ้านในกลุ่มเพิ่มสูงขึ้นด้วย เมื่อเทียบกับเงินทุนที่ลงไปไม่มากนัก
“ลุงยังจำคำสอนของในหลวงได้ขึ้นใจว่าเกษตรกรต้องพึ่งพาตนเอง จึงหันไปมองรอบๆ สวน แล้วทำตามคำสอนของพระองค์ท่าน จุดเด่นของสวนนี้ คือ การจัดการอย่างผสมผสานและสร้างความหลากหลายในพืชผัก ซึ่งความหลากหลายยังทำให้ธรรมชาติต่อสู้กันเองด้วย เช่น ปลูกต้นพริกไทยที่โคนต้นทุเรียนเพื่อไล่เชื้อรา เป็นต้น เป็นการทำสวนด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้ผล แต่คนไทยอาจหลงลืมไปแล้ว”
ความสำเร็จจากการ “ปฏิวัติ” การเกษตรรูปแบบเดิมๆมาเป็นแบบผสมผสานตามแนว “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ใช้พื้นที่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยังช่วยสร้าง “ความสามัคคี” ให้คนในชุมชนที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์กันมากขึ้น ก่อให้เกิดการปรึกษาหารือถึงแนวทางการพัฒนา และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และยังทำให้สวนเกษตรของ “ลุงไข่” ถูกยกเป็น “ศูนย์เรียนรู้เกษตรพอเพียงชุมชน” มีเกษตรกรในตำบลใกล้เคียง นักเรียน นักศึกษา มาดูงานบ่อยครั้ง ขณะที่ “ลุงไข่” ยังได้รับเกียรติจากหน่วยงานราชการให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายและสาธิตในงานประชุม สัมมนา หลายครั้งเช่นกัน
“หลายครั้งที่ลุงต้องไปเป็นวิทยากรตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้เกี่ยวกับต้นไม้ การอนุรักษ์ทรัพยากร และระบบนิเวศน์ ซึ่งลุงภูมิใจกับการที่สิ่งที่ทำลงไปได้รับการยอมรับ และเป็นประโยชน์ต่อลูกหลาน ที่สำคัญ คือ เป็นการเดินตามรอยพ่อตามหลักบวร คือ บ้าน วัด และโรงเรียน ได้รับประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด”
“ลุงไข่” ฝากทิ้งท้ายว่า ถึงแม้ระดับ “ความพอเพียง” ของทุกคนจะมีไม่เท่ากัน แต่ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียงได้ เพียงแค่อยู่บนพื้นฐานของการรู้จักตนเอง รู้จักพัฒนา รู้จักพึ่งพา และดำเนินชีวิตอย่างมีสติไตร่ตรอง และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างสุดความสามารถของตนเอง ก่อนที่คิดจะพึ่งพาผู้อื่น
นอกจากนั้น “จงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
เพียงเท่านี้ก็จะนำพาทุกคนมุ่งไปสู่ความสุขทั้งกายและใจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี