ต้องบอกว่าเป็นเหตุการณ์ “ระทึกขวัญ” ตลอดวันที่ 19 พ.ค. 2559 กับการที่ตำรวจเข้าปิดล้อมบริเวณโรงแรมสุภาพ ย่านสะพานควาย กรุงเทพฯ หลังทราบเบาะแสว่า ดร.วันชัย ดนัยตโมนุท ผู้ต้องหาคดีใช้อาวุธปืนยิง ดร.พิชัย ไชยสงคราม และ ดร.ณัฐพล ชุมวรฐายี เสียชีวิต เมื่อ 18 พ.ค. 2559 ว่าพักอยู่ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ย่านบางเขน กรุงเทพฯ โดยสาเหตุคาดว่ามาจากความขัดแย้งในการทำงาน
ทุกอย่างน่าจะ “จบด้วยดี”..หลังการ “เจรจา” ผ่านไปหลายชั่วโมง!!!
ทว่า “เสียงปืน” ดังขึ้น 1 นัด..ดร.วันชัย เลือกที่จะ “ลั่นไก” จบชีวิตตนเอง!!!
แม้เหตุการณ์จะจบลง..แต่ยังมีประเด็นทางสังคมต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่กรณีสื่อมวลชน “ถ่ายทอดสด” การเจรจาของเจ้าหน้าที่กับผู้ต้องหาแบบ “วินาทีต่อวินาที” (Real Time) ผ่านแอพพลิเคชั่น “เฟซบุ๊ค ไลฟ์” (Facebook Live) ให้ชมกันสดๆ บนเว็บไซต์เฟซบุ๊ค ซึ่งถือเป็น “ครั้งแรก” ของการถ่ายทอดกรณีแบบนี้ ท่ามกลางเสียงท้วงติงว่า “เหมาะสมหรือไม่?” เพราะการถ่ายทอดสดถือว่า “สุ่มเสี่ยง” หากมีภาพไม่เหมาะสมออกมาจะ “เซ็นเซอร์” ไม่ทัน
ขณะที่ฝั่งตำรวจ..ก็ถูกตั้งคำถามถึง “ยุทธวิธีเจรจาต่อรอง”!!!
ว่าได้ทำถูกหลัก “จิตวิทยา” หรือไม่? มากน้อยเพียงใด?!!!
ข้อมูลจากเว็บไซต์ กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรภาค 2 ระบุถึงหลักปฏิบัติของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำการเจรจาต่อรองกับคนร้ายที่ยึดสถานที่ ซึ่งอาจมีตัวประกันหรือไม่ก็ได้ แต่มีข้อเรียกร้องที่ไม่แน่นอน เช่น ผู้มีอาการทางจิต ผู้ใช้สารเสพติด รวมถึง ผู้ที่พยายามจะฆ่าตัวตาย ไว้ว่า..
1.ใช้แนวทางเจรจาแบบซื้อเวลา 2.พยายามฟังคนร้ายพูดให้มาก และเข้าใจปัญหา ความรู้สึกของคนร้ายให้มาก 3.ห้ามขู่เข็ญ หรือตัดสินใจแทนคนร้าย 4.หลีกเลี่ยงการใช้เทคนิคที่ก่อกวนคนร้าย 5.พยายามช่วยให้เขามีเหตุผลมากขึ้น 6.สร้างความเชื่อถือและความสัมพันธ์ระหว่างคนร้ายและผู้เจรจา 7.แนะนำการแก้ปัญหาของคนร้ายแบบที่ไม่รุนแรง 8.ลดการจำกัดวงล้อม หรือขยายวงล้อมรอบในของตำรวจให้กว้างมากขึ้น เพื่อแสดงความตั้งใจว่าตำรวจจะแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี
เนื่องจากเมื่อคนเราเจอ “ปัญหาที่แก้ไม่ตก” ก็จะเริ่มเกิดความกังวล พอเจอหลายๆ เรื่องเข้าจนอยู่ในภาวะ “ตึงเครียด” ก็ยิ่งทำให้สติและการใช้เหตุผลแก้ไขมีปัญหา “สับสน” ซึ่งเมื่อแก้ปัญหาเองไม่ได้ “คนเราก็มักหาคนอื่นเพื่อขอความเห็นใจ” อยากให้ผู้อื่นเข้าใจ ขอการสนับสนุน ขอการปกป้อง
ซึ่งจากการวิจัยพบว่า “คนเรานั้นมีลักษณะนิสัยที่มักต้องพึ่งพาคนอื่น” ทว่าเมื่อคนที่ประสบเหตุวิกฤติร้องขอการสนับสนุนแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ย่อมทำให้คนเหล่านั้นเกิดความโกรธ ความกลัว ความกังวล และแสดงออกในลักษณะการระบายอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นการจับผู้อื่นเป็นตัวประกัน..หรือมีท่าทีพยายามจะฆ่าตัวตาย!!!
ขณะที่ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เขียนบทความบนเฟซบุ๊คส่วนตัว “Arnond Sakworawich” วิเคราะห์ถึง “ข้อผิดพลาด” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้หลายประการ อาทิ..
- เหตุใดจึงปล่อยให้นักข่าวทำการถ่ายทอดสดกันมากขนาดนั้น? เพราะถือเป็นการ “กดดัน” ผู้ต้องหาจนสุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายได้ เนื่องจากคิดว่า “ถึงอยู่ไปก็คงไม่มีที่ยืนอีกแล้ว” ชีวิตที่เหลือพังทลายหมดสิ้นความหมาย จากสายตาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนจำนวนมหาศาลที่ได้ “ชมสด” ผ่านกล้องของสื่อมวลชน ซึ่งการถ่ายทอดสดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว “ไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน” ตำรวจน่าจะบริหารจัดการพื้นที่ได้ดีกว่านี้
พร้อมแสดงความเป็นห่วงว่า..จะกลายเป็น “พฤติกรรมเลียนแบบ” หรือไม่?
- เหตุใดจึงไม่มีนักจิตวิทยาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย? มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นที่เข้าไปเจรจา นอกจากนี้การให้ญาติและคนรู้จักของผู้ต้องหาใช้โทรโข่งพูดคุยกับผู้ต้องหา ในทางจิตวิทยาถือเป็นการ“ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” (Dehumanize) และการสื่อสารลักษณะนี้ไม่สามารถทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย “เปิดใจคุยกัน” ได้อย่างเต็มที่เพราะ “ขาดความเป็นส่วนตัว” ตำรวจน่าจะจัดการกับปัญหาเสียงรบกวนรอบๆ มากกว่า
เพราะการใช้ “เสียงธรรมชาติ” คุยกัน..จะช่วยลด “ความตึงเครียด” ลงได้!!!
- เหตุใดทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและญาติของผู้ต้องหาจึงเป็นฝ่ายพูดมากกว่าฟัง? เพราะในสถานการณ์ที่ใครคนหนึ่งรู้สึกเครียด สิ่งที่คนคนนั้นต้องการคือ “ได้ระบาย” ได้พูดในสิ่งที่เขา “อึดอัด-คับข้องใจ” ออกมาให้มากที่สุด แต่กลับเป็นฝ่ายตำรวจและญาติของผู้ต้องหาที่ “พูดเยอะ” กว่าการ “รับฟัง” ซึ่งเมื่อรวมกับช่วงที่ตำรวจเข้าไปค้นรถของ ดร.วันชัย อันเป็นการทำให้รู้สึกว่า “สูญเสียพื้นที่ปลอดภัย” จนมองว่าตนนั้นไม่มีทางออกอีกแล้ว
นำมาซึ่ง “ตอนจบ” ของเรื่องนี้แบบ “น่าสลดใจ” ในที่สุด!!!
ด้าน รศ.นพ.ศิริไชย หงษ์สงวนศรี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ความเห็นว่า เข้าใจและไม่กล่าวโทษการทำงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากตำรวจมีบทบาทหน้าที่ต้องจัดการกับผู้กระทำผิด อีกทั้งผู้ตายก็กระทำความผิดมาจริง เพียงแต่ตามหลักแล้วควรให้ “นักจิตวิทยา”เป็นผู้เจรจาจะดีกว่า เพราะเป็นคนอื่น
ที่ “ไม่ตัดสินชี้ถูกชี้ผิด” ให้ช่วยรับฟัง ไม่ท้าทาย ไม่ข่มขู่ ไม่กดดัน เพื่อให้บรรยากาศแวดล้อมดีขึ้น
นอกจากนี้ยังฝากถึงสื่อมวลชนว่า กรณีการเจรจาต่อรองลักษณะดังกล่าว “ไม่ควรถ่ายทอดสดต่อเนื่องเป็นเวลานาน” เพราะมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้ที่ได้รับชม เช่น หากใครที่ “จิตใจอ่อนไหว” ก็จะเกิดภาพติดตา นอนไม่หลับ ขวัญผวา “เกิดความเครียด” ขณะที่เด็ก เยาวชน หรือผู้ที่ “ชอบความรุนแรง” อาจมีแนวโน้ม “ชินชา” กับภาพความรุนแรงมากขึ้น ส่วนคนที่มี “ภาวะซึมเศร้า” อยู่แล้ว ก็อาจคิด “ทำตาม” จากตัวอย่างในข่าวได้
สำหรับตำรวจและสื่อมวลชน..นี่จึงเป็น “บทเรียนราคาแพง” ที่ไม่ควรจะให้ “ซ้ำรอย” ขึ้นอีก!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี