“บทบาททางเพศ” ระหว่าง “หญิง-ชาย” ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมไทยคล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มองบทบาททางเพศของผู้ชายว่าอยู่ในฐานะ “ช้างเท้าหน้า” ขณะที่ผู้หญิงเป็น “ช้างเท้าหลัง” หรือแม้กระทั่งทัศนคติ “แง่ลบ” ที่มีต่อกลุ่ม “เพศทางเลือก” (LGBT) ซึ่งถือเป็นการแสดงออกทางเพศที่ “ไม่เท่าเทียม” นัก หลังจากวันที่ 9 กันยายน 2558 ประเทศไทยได้ประกาศใช้ “พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558” ซึ่งคล้ายจะเป็นความก้าวหน้าเล็กๆ ในความพยายามสร้าง “ความเท่าเทียมระหว่างเพศ”
แต่ในความเป็นจริงผู้คนบางส่วนยังมี “อคติ” ทำให้ผู้หญิงและเพศทางเลือกยังถูก “เลือกปฏิบัติ” ในการเข้าถึงสิทธิ์ด้านต่างๆ...ที่สำคัญ “ผู้ถูกกระทำ” ยังไม่รับรู้ถึง “เสียง” และ “สิทธิ์” ที่ตนเองพึงมี!!!
“นิชนัจทน์ สุดลาภา” หรือ “ซารีน่า ไทย” นางแบบข้ามเพศคนดัง สะท้อนถึงสิทธิ์ที่ยังถูก “กีดกัน” ผ่านเวทีเสวนาในงาน “ลุกขึ้นเปลี่ยนสังคมไทยให้เท่าเทียม : พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558” ว่า เธอเคยถูก “เลือกปฏิบัติ” โดยการปฏิเสธไม่ให้เข้าสถานบันเทิง เพียงเพราะเป็น “กะเทย” จึงเข้าร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ผลจากการร้องเรียนของเธอทำให้ “เพื่อนร่วมเพศ” อีกหลายๆคนที่ถูกละเมิดสิทธิ์รับรู้ช่องทางในการพิทักษ์สิทธิ์ตนเอง และทำให้สถานบันเทิงต้องปฏิบัติกับ “คนข้ามเพศ” อย่างเท่าเทียม
“ซารีน่า ไทย” มองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความไม่เข้าใจและความ “เกลียด-กลัว” คนข้ามเพศบนฐานของอคติ ซึ่งแม้จะมี พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว แต่ยังพบการเลือกปฏิบัติเช่นนี้อยู่เป็นระยะ ดังนั้น “อย่ายอม”!!!
“อย่าหยุดต่อสู้เพื่อสิทธิ์ที่เราพึงมีมาแต่กำเนิด บุคคลหลากหลายทางเพศต้องกล้าลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตนเอง” นางแบบข้ามเพศคนดัง กล่าว
“อคติ” และการเลือกปฏิบัติต่อ “คนข้ามเพศ” มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในภาคเอกชน แต่ใน “หน่วยงานภาครัฐ” ก็เกิดขึ้นเช่นกัน...
“เคท ครั้งพิบูลย์” รองประธานเครือข่ายเพื่อนกะเทยไทย กล่าวบนเวทีเดียวกันว่า หน่วยงานภาครัฐควรปรับโครงสร้างการให้บริการประชาชนด้วย เพราะหลายๆ ครั้งที่กลุ่มเพศทางเลือกไปติดต่อราชการ คนที่เป็น “กะเทย” จะลำบากมาก พบอุปสรรคทุกขั้นตอน ซึ่งรัฐควร “ปรับทัศนคติ” ให้เจ้าหน้าที่เข้าใจจริงๆถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อกลุ่มเพศทางเลือก ซึ่งแม้ปัจจุบันสังคมไทยจะเลือกปฏิบัติน้อยลง แต่ก็เป็นเพียงการ “สวมหน้ากาก” ไม่กล้าเกลียดอย่างชัดเจน แต่แสดงออกทางอ้อม
“เคท” อธิบายว่า ผู้คนที่รับไม่ได้กับการมี “เพศที่สาม” อยู่ในสังคมจะไม่พูดตรงๆ เหมือนสมัยก่อน แต่จะพูดหรือปฏิบัติแบบอ้อมๆ เช่น ไม่รับเข้าทำงาน อ้างว่าความสามารถไม่ถึง ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความสามารถ แต่เกิดจากอคติมากกว่า เป็นต้น ซึ่งแม้สังคมไทยปัจจุบันจะมี “ที่ยืน” มีเวทีให้กลุ่มเพศทางเลือกได้แสดงออกมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า “ยอมรับ” การที่เห็นกลุ่มเพศทางเลือกในภาพยนตร์หรือละคร ไม่ได้บ่งชี้ว่าสังคมให้การยอมรับแต่นั่นคือภาคอุตสาหกรรมการบันเทิงที่ “ตีกรอบ” ให้พวกเราเป็น “ตัวโจ๊ก” เป็นตัวตลกสร้างเสียงหัวเราะ
“แม้จะมี พ.ร.บ.ออกมา ก็ไม่ได้ทำให้อคติของคนในสังคมลดลง การจะลดความเกลียดกลัวคนข้ามเพศลงได้ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ให้เกียรติและเคารพกันมากกว่า จึงอยากให้สังคมเข้าใจว่าเพศทางเลือกก็เป็นมนุษย์ มีจิตใจ มีความรัก ลดทิฐิลงก่อน แล้วค่อยเขยิบขึ้นมาเป็นยอมรับก็ได้”
สำหรับ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศฯ ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่คุ้มครองไปถึงกลุ่มเพศทางเลือกจากเดิมที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาความเท่าเทียมของเพศที่ว่านี้หมายถึงแค่ “เพศหญิง-เพศชาย” แต่กฎหมายฉบับนี้เปิดช่องให้ทุกเพศ “เกย์ กะเทย ทอม ดี้” ล้วนได้รับการคุ้มครอง และสามารถร้องเรียนว่าถูกเลือกปฏิบัติด้วยสาเหตุทางเพศได้ เพียงแต่ความเข้าใจยังไม่ “ครอบคลุม-ทั่วถึง”
“กฎหมายนี้เป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยกลุ่มเพศทางเลือกได้ อย่างน้อยคนอื่นจะมาเลือกปฏิบัติโดยนำเรื่องเพศมาเป็นข้ออ้างไม่ได้แล้ว แต่ใช่ว่าทุกคนที่จะรู้กฎหมายนี้ ดังนั้นต้องช่วยกันให้ข้อมูลและทำความเข้าใจกับคนในสังคม กฎหมายมีประโยชน์อยู่มาก แต่ถ้าไม่มีคนใช้อย่างเข้าใจ หรือไม่มีคนนำไปเผยแพร่ก็ไม่มีความหมาย” เคท กล่าว
ด้าน “ผุสดี ตามไท” รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า กทม. สนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันของทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหนหรือเพศอะไร มีรสนิยมอย่างไร ทุกคนย่อมมีโอกาสเท่าเทียมกัน เราไม่ควรเลือกปฏิบัติ โดยที่ผ่านมา กทม.ได้แสดงให้เห็นถึงการเคารพในสิทธิ์ และเต็มใจให้บริการทุกคนอย่างเท่าเทียม เช่น เปิดโอกาสให้ผู้จะมาทำบัตรประชาชนแต่งกายไม่ตรงกับ “เพศสภาพ” มาทำบัตรประชาชนได้ ส่วนนักเรียนยังต้องปฏิบัติตามระเบียบ เนื่องจากมีเหตุผลและปัจจัยหลายอย่างที่อาจมีผลกระทบได้ จึงยังไม่เปิดโอกาสให้ทำได้
สำหรับ “ช่องทาง” ร้องเรียน...“เลิศปัญญา บูรณบัณฑิต” อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว(สค.) กล่าวว่าพ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศฯ เป็น “กฎหมายทางเลือก” สำหรับผู้ถูกเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งเพศ สาระสำคัญ คือ คุ้มกันและป้องกันสิทธิ์ให้กับผู้ถูกเลือกปฏิบัติ ให้ได้เข้าสู่กระบวนการของกฎหมายอย่างเสมอภาค โดยสามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงาน สค. หรือบ้านราชวิถี หรือพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.) ตามศูนย์ราชการของทุกจังหวัด และสายด่วนศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทร.1300 ตลอด 24 ชั่วโมง จากนั้น “คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” (วลพ.) จะเป็นผู้วินิจฉัย
ถ้าผลวินิจฉัยพบเป็นผู้ได้รับผลกระทบการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งเพศ จะได้รับเงินเยียวยาจากกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ!!!
“พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ” เป็นเครื่องมือในการคุ้มครองสิทธิ์ เป็นกฎหมายที่ถูกผลักดันให้คนที่ถูกเลือกปฏิบัติได้รับการคุ้มครอง ป้องกันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ แต่กฎหมายฉบับนี้จะเกิดประโยชน์ได้ ต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม เพื่อให้เกิดความตระหนักในเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศและวิธีการปฏิบัติต่างๆด้วย
ที่สำคัญ...เมื่อมี “สิทธิ์” ต้องมี “เสียง...
“ผู้ถูกกระทำ” ต้องไม่เงียบอีกต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี