กลายเป็นประเด็นร้อนไปแล้วกว่า 1 สัปดาห์ หลังจากช่อง 3 ตัดสินใจถอดละคร “เหนือเมฆ 2” ออกจากผังรายการ ทั้งที่ยังเหลืออีก 3 ตอนถึงจะจบ โดยทันทีที่ละครถูกถอด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังกระหึ่มในสังคมออนไลน์ บ้างก็ว่านักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางคน ต้องการเอาใจ “นายใหญ่” ที่วันนี้ต้องพเนจรอยู่ต่างแดน เป็นผู้ไปพูดจาบางอย่างกับผู้บริหารช่อง 3 ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งที่สนับสนุนรัฐบาล เชื่อว่าที่ต้องแบนเพราะละครเรื่องดังกล่าวมีเนื้อหาพาดพิงโจมตีพรรครัฐบาล ด้วยปูมหลังของผู้จัดและนักแสดงบางคน ซึ่งจะเป็นการยั่วยุให้เกิดการเกลียดชังตามมา
และล่าสุดเมื่อ นายบริสุทธิ์ บูรณะสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ช่อง 3 ออกมาชี้แจงแต่เพียงว่า “ไม่เหมาะสม” รวมถึงประกาศว่าจะไม่มีการเผยแพร่ในช่องทางอื่นๆ ทั้งในเว็บไซต์ Youtube หรือทำเป็นแผ่น DVD VCD จำหน่ายอย่างเด็ดขาด โดยไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าไม่เหมาะสมอย่างไร กลายเป็นการสร้างความคลางแคลงใจให้กับสังคมมากขึ้นไปอีก วันนี้สกู๊ปหน้า 5 จึงขอพาทุกท่านไปฟังความเห็นทั้งจากนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และนักกฎหมาย เกี่ยวกับประเด็นนี้ ว่าท่าทีของช่อง 3 นั้นถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่?
เหนือเมฆ 2 : จับพิรุธเบื้องหลังช่อง 3
หลังจากที่มีการแบนละครเรื่องดังกล่าว สังคมออนไลน์ก็ได้มีการตั้งคำถามกันว่าอะไรคือสาเหตุ นอกจากเรื่องของกระแสการเมืองแล้ว บางคนก็อ้างไปที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือบางคนก็ไปอ้างถึง มาตรา 37 ของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแม้ว่าช่อง 3 จะออกมายืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับทั้ง 2 ข้อนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก จึงเป็นที่มาของการ “ตั้งข้อสังเกต” บางประการจากหลายฝ่าย
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนชื่อดัง ชี้ให้เห็นถึงพิรุธของช่อง 3 หลายประการ 1.เป็นที่รู้กันดีว่าช่อง 3 ทำละครแบบเป็น Stock กล่าวคือละครที่จะออกอากาศได้นั้น จะต้องถ่ายทำเสร็จแล้ว มิได้ถ่ายไปออกอากาศไปเหมือนอีก
ช่องหนึ่ง ดังนั้นเมื่อถ่ายทำเสร็จแล้วมา Stock เตรียมออกอากาศ ก็จะต้องผ่านการตรวจบทก่อนเสมอ 2.เมื่อมีการถ่ายทำเสร็จแล้ว ก่อนนำออกอากาศ ผู้บริหารหรือคณะกรรมการพิจารณาของช่อง ต้องได้ดูเพื่อพิจารณาอนุมัติ ว่าจะให้ออกอากาศได้หรือไม่
3.สิ่งหนึ่งที่ช่อง 3 นิยมทำเป็นประจำคือ “นิตยสารโปรโมทละคร” ซึ่งจะมีการคัดเอาฉากสำคัญ ที่เป็นไฮไลท์ของละครเรื่องนั้นๆ มารวมเล่มไว้ แน่นอนว่าคณะผู้จัดทำนิตยสาร ก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดของละครดังกล่าว มิเช่นนั้นจะไม่สามารถทำนิตยสารออกมาได้ 4.ละครของช่อง 3 มีทั้งละครเย็น และละครหลังข่าว ซึ่งเวลาของละครหลังข่าวนั้น อัตราค่าโฆษณาจะสูงกว่าละครเย็นก่อนข่าว
ดังนั้นละครที่ได้ออกอากาศในช่วงเวลานี้ ผู้บริหารต้องได้ดู และมั่นใจว่าจะสามารถเรียกค่าโฆษณาได้มาก
“โดยหลักการ ช่อง 3 น่าจะเลือกละครที่คิดว่าดีกว่าไว้ฉายในช่วงกลางคืน เพราะจะได้ขายโฆษณาได้เยอะๆ นาทีละตั้ง 5 แสน ในขณะที่ตอนเย็นจะได้ไม่ถึง 5 แสน ละครเรื่องนี้ถูกเลือกให้ไปอยู่ช่วงกลางคืน แปลว่าผู้บริหารช่อง 3 ต้องดูแล้วว่า เป็นละครที่ดีกว่าละครอีกหลายๆ เรื่อง” อ.เสรี ตั้งข้อสังเกต
5.ละครที่ได้รับเลือกให้ฉายในช่วงหลังข่าว ก็จะมีอยู่ 3 Slot คือจันทร์-อังคาร , พุธ-พฤหัสบดี และศุกร์-อาทิตย์ ซึ่ง Slot ส่วนของวันศุกร์-อาทิตย์นี้ ละครที่ดูแล้วสามารถทำเงินได้มากเป็นพิเศษ ถึงจะได้ออกอากาศ เนื่องจากมีวันออกอากาศถึง 3 วัน ดังนั้นการที่ได้ออกอากาศในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ต้องผ่านการอนุมัติจากผู้บริหารช่อง 3 อีกเช่นกัน
“นี่คือตรรกะ ที่ทำให้เรามองเห็นว่า มันไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ละครเรื่องนี้จะมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ดูจากทุกข้อที่ว่ามา ทั้งได้ลง Slot ช่วงกลางคืน ได้ลงในช่วงที่มี 3 คืน แถมผ่านมาทั้ง 3 ช่วง ทั้งช่วงบท ช่วงถ่ายทำ และช่วงทำนิตยสาร คือถ้ามันไม่เหมาะสม มันก็ต้องเห็นแล้ว ทำไมจู่ๆ ฉายมาได้ตั้ง 9 ตอน ไม่รู้มีลางสังหรณ์อะไร บอกไม่เหมาะสม” อ.เสรี ย้ำถึงความไม่ชอบมาพากลอีกครั้ง
‘อำนาจมืด’ไม่จำเป็นต้องมี‘ใบเสร็จ’
เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตดังกล่าว จึงมีการตั้งคำถามกันต่อไป ว่านี่เป็น “อำนาจมืด” จากใครบางคนจริงหรือไม่? นักวิชาการด้านสื่อรายนี้ ตั้งคำถามย้อนกลับไปยังสื่อมวลชน ว่าที่ผ่านมา การที่เที่ยวไปถามนายกฯ หรือคนในรัฐบาล ว่า “คนแดนไกล” เกี่ยวข้องกับนโยบายในพรรค หรือการปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ แน่นอน ทุกคนในรัฐบาลตอบเป็นเสียงเดียวว่า “ไม่เกี่ยว” แต่ในความเป็นจริงทุกครั้งที่มีการชุมนุม หรืองานสังสรรค์ของกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาล พบว่า “คนแดนไกล” จะต้องปราศรัยผ่านวีดีโอลิงค์แทบทุกครั้ง และหลายครั้งก็ “หลุด” ถ้อยคำบางอย่างออกมา เช่น การให้แกนนำมวลชนบางคน รอตำแหน่งในรัฐบาลไปก่อน หรือการขอบคุณ สส. ที่ช่วยกันโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกัน กรณีช่อง 3 กับเหนือเมฆ จึงอาจเป็นไปได้ว่า แม้แต่รัฐมนตรีที่มีอำนาจตามกฎหมาย ในการดูแลสื่อโดยตรง อาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้ เพราะอำนาจมืดไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่งตามกฎหมาย เพียงแค่นักการเมือง “ระดับใหญ่ๆ” สักคน ปรารภด้วยความไม่พอใจออกมา ช่อง 3 ในฐานะนักธุรกิจ ย่อมไม่อยากมีเรื่องอยู่แล้ว
“การทำธุรกิจ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม มันไม่มีทางที่จะสะอาดบริสุทธิ์จนไร้แผล ถ้าเขาอยากให้หลุดสัมปทาน เอาแค่นิดเดียวก็ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ แท็กซี่กับจราจร แท็กซี่เขาเล่าว่า ถ้าผมจะโดนจับ มันจะมาเรื่อยๆ เริ่มจากขอดูใบขับขี่ พอมีใบขับขี่ก็ขอดูบัตรประชาชน พอไม่โดนตรงนี้ ก็มาดูว่าผมกดมิเตอร์หรือเปล่า ดูว่าผมใส่หมวกหรือเปล่า ใส่รองเท้าแตะหรือเปล่า เสื้อผมปักชื่อที่หน้าอกหรือเปล่า มันเอาผมจนได้ล่ะครับ ช่อง 3 ก็เหมือนกันอย่างแท็กซี่เขาบอกว่ากฎระเบียบตรงนี้มี แต่ผมไม่ได้ทำมาตั้งนาน เขาก็ไม่สนใจ นอกจากวันไหนเขาอยากได้เงิน ก็เลยเอาเหตุตรงนี้” ดร.เสรี ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
บทบาทสื่อ : รับใช้สังคมVSมุ่งผลธุรกิจ
มีเสียงแสดงความเห็นใจช่อง 3 อยู่บ้างพอสมควร เพราะที่ผ่านมาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ช่อง 3 ได้ทำประโยชน์แก่สังคมไว้มากมาย ขณะที่วันนี้ ช่อง 3 กำลังถูกเพ่งเล็งกรณีการต่อสัมปทานเมื่อปี พ.ศ.2553 ว่ามีความโปร่งใสหรือไม่ การที่ยอมถูกสังคมตำหนิ คงดีกว่าถูกเล่นงานจนเสียสิทธิ์ในสัมปทาน แต่ในอีกมุมหนึ่ง ช่อง 3 ก็มิใช่เป็นเพียงองค์กรธุรกิจเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่งยังถือสถานะ “สื่อมวลชน” ที่ได้รับการยกย่อง และการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญที่มากกว่าบุคคล หรือองค์กรเอกชนอื่นๆ ทั่วไป
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการด้านกฎหมาย กล่าวย้ำถึงประเด็นนี้ โดยยกรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 45 ที่ให้การคุ้มครองสื่อมวลชนไว้อย่างชัดเจน เพราะแม้แต่รัฐก็ไม่สามารถไปสั่งปิด หรือเซ็นเซอร์เนื้อหาของสื่อได้ เว้นแต่อยู่ในภาวะพิเศษ ที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ หรือในมาตรา 47 ก็ระบุไว้ชัดเจน ว่าคลื่นความถี่วิทยุหรือโทรทัศน์ เป็นทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ เท่ากับว่าช่อง 3 ที่มีสถานะสื่อมวลชน ย่อมได้รับการคุ้มครองตามมาตราดังกล่าวด้วย ดังนั้นช่อง 3 จึงต้องมีหน้าที่พิเศษ ตามสิทธิพิเศษที่ได้รับเช่นกัน
“ทำไมรัฐธรรมนูญถึงกำหนดให้สื่อเป็นอภิสิทธิ์ชน ไม่ใช่ว่าสื่อเขาพิเศษหรอกครับ แต่สื่อมวลชนมีหน้าที่เชื่อมโยงกับประชาชน ถ้าสื่อไม่ได้รับการคุ้มครอง เราก็ไม่ได้รับการคุ้มครอง การที่เราไปกระตุ้นให้สื่อมวลชนต้องชี้แจง มันคือการหวงแหนเสรีภาพของเรา อย่างมาตรา 37 (พ.ร.บ.กิจการกระจายเสียงฯ) ผมว่าไม่น่าจะนำมาใช้เลย เว้นเสียแต่จำเป็นจริงๆ เช่น การเผยแพร่รายการที่ชักชวนให้คนออกมารัฐประหารล้มล้างรัฐบาล
แต่ผมก็ยังตั้งคำถามอีกว่าแล้วถ้ามันเป็นแค่ละคร เผลอๆ อาจจะเอามาตรานี้ไปจับเขาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการแสดงออก และช่องอื่นจะแสดงออกด้วยการต่อต้านกลับมา ก็ทำได้เช่นกัน แต่ถ้าเป็นการเสนอข่าวให้เกิดความแตกตื่นเข้าใจผิด โดยไม่ได้บอกว่าเป็นละคร อันนั้นอาจจะมีเรื่องกฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้อง” คุณวีรพัฒน์ กล่าว
‘เสรีภาพ’กับ‘ความรับผิดชอบ’
มีการตั้งข้อสังเกตถึงกระแสทวงคืนเหนือเมฆ 2 ในประเด็นที่ว่าปรากฏการณ์ดังกล่าว เป็นเพียงเรื่องรสนิยมพิเศษของชนชั้นกลางไทยหรือไม่? เพราะก่อนหน้านี้ หนังสือต้องห้ามก็ดี ภาพยนตร์บางเรื่องที่ถูกห้ามฉายก็ดี ไม่เคยมีกระแสเรียกร้องของชนชั้นกลางกระแสหลักเหมือนกรณีนี้แต่อย่างใด ซึ่งประเด็นนี้ อ.เสรี มีความเห็นว่าการที่สังคมเลือก หรือไม่เลือกที่จะเรียกร้องในประเด็นใด ไม่ใช่ 2 หรือหลายมาตรฐาน แต่เพราะรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร
“การที่อะไรถูกแบนแล้วเราสนใจ อะไรถูกแบนแล้วเราไม่สนใจ เพราะเราฉลาดเพียงพอที่จะดูบริบท อย่าไปเรียกว่า 2 มาตรฐาน แต่มันเป็น 2 กรณี คือกรณีต่างกัน จะให้ตัดสินเหมือนกันได้อย่างไร เช่นกัน เรื่องนี้เราดูแล้วว่าดี มันถูกแบน เราจึงเดือดร้อน แต่อีกเรื่องที่จาบจ้วงเบื้องสูง แบนไปเลย เราถูกใจ นี่มันเป็น 2 กรณีที่ต่างกัน เออถ้าคนขโมยของเหมือนกัน A หน้าตาไม่ดีติดคุก 6 เดือน แต่ B หน้าตาหล่อติดแค่ 3 เดือน อันนี้ถึงเป็น 2 มาตรฐาน
แล้วคนเราจะถูกประเมินความฉลาด จากวิสัยทัศน์ที่มองเห็นผลจากการกระทำ อย่างคนขับรถ เวลาจะแซง ก็คิดกันแต่ว่า
จะแซงพ้นไม่พ้น แต่ไม่เคยถามว่าถ้าไม่พ้นจะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเสี่ยงออกมา แล้วก็ชน แต่บางคน คิดว่าพ้นไม่พ้น แล้วคิดต่ออีกว่าถ้าไม่พ้นจะเป็นยังไง จะมีแม่ม่ายไหม? จะมีลูกกำพร้าไหม? จะมีคนพิการไหม? เอองั้นไปช้าๆ หน่อย ไม่อยากสร้างแม่ม่าย ลูกกำพร้า นี่คือคนฉลาดและมีคุณธรรม เพราะคุณธรรมหมายถึงการนึกถึงผลลัพธ์การกระทำของตน ที่จะกระทบกับคนหมู่มาก ถ้าใครที่ไม่คิดว่าการกระทำของตนจะไปกระทบกับคนอื่นอย่างไร คนนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว ไร้จิตสาธารณะ คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ล่มจม” อ.เสรี กล่าวทิ้งท้าย
วันที่ 16 ม.ค.2556 นี้ คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร จะเชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้บริหาร และฝ่ายเซ็นเซอร์ของช่อง 3 ,ผู้จัดทำละครเรื่องดังกล่าว และ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. ที่กำกับดูแลกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เข้าชี้แจงและจะขอเทปการออกอากาศทั้งหมด รวมทั้งส่วนที่ระงับการออกอากาศ เพื่อมาตรวจสอบด้วย
ส่วนผลจะเป็นอย่างไร คงต้องรอกันต่อไป ด้วยใจที่ลุ้นระทึก
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี