วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568
การปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2542 หลายฝ่ายถือว่าเป็นก้าวแรก บนความคาดหวังว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีขึ้น ทว่าวันนี้..ผ่านไปแล้ว 13 ปี แต่หลายสิ่งยังคงเหมือนเดิม หรืออาจจะแย่กว่าเดิม ทั้งในส่วนของการทดสอบความรู้ทางวิชาการ ที่ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษ ล้วนได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
ขณะที่อีกด้านที่สำคัญ คือความพยายามในการกระจายการศึกษาทุกระดับชั้นให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จนปัจจุบันพบว่าระดับการศึกษาเฉลี่ยของเด็กไทยสูงขึ้น โดยอยู่ที่มัธยมศึกษาปีที่ 3 จากเดิมที่อยู่เพียงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น แต่หากมองลึกเข้าไปในรายละเอียด เรายังพบปัญหาซุกซ่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของการเรียนการสอนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ระหว่างโรงเรียนชั้นยอดในเมืองหลวงหรือในตัวจังหวัด กับโรงเรียนทั่วๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนในชนบท หรือปัญหาการแข่งขันในสังคม ทั้งนักเรียนและผู้ปกครองในด้านทรัพย์สินและชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้กำลังเป็นความท้าทายที่สำคัญ ของบุคคลในแวดวงการศึกษา หรือถ้าจะให้มากกว่านั้น คือแทบทุกส่วนของภาครัฐเลยทีเดียว
“ปัจจุบันเราพบปัญหาใหม่ครับ อย่างจังหวัดผมในภาคอีสาน ผมกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าทุกปี พบว่าปัจจุบันมีปัญหาอย่างหนึ่ง คือโรงเรียนจะมีหลักสูตรพิเศษ หรือที่เรียกว่า Gift ซึ่งมีบางอย่างแตกต่างจากนักเรียนปกติ ที่เห็นชัดคือนักเรียนทั้ง 2 หลักสูตรแต่งตัวไม่เหมือนกัน และสิ่งที่พบเห็น คือเด็กทั้ง 2 หลักสูตร ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไร”
แหล่งข่าวรายหนึ่ง เป็นคนแถบภาคอีสานตอนกลาง เล่าว่าสิ่งที่ได้พบเห็นเมื่อกลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าที่ตนเคยศึกษาอยู่ พบว่าปัจจุบันได้เปิดสอนหลักสูตรภาคพิเศษ เพื่อหวังเสริมให้เด็กเก่งได้รับการพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ
แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อสิ่งที่แหล่งข่าวคนดังกล่าวพบ คือคนที่เข้าไปเรียนในหลักสูตร Gift ที่ว่า ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กเก่ง หากแต่เป็นเด็กที่มาจากครอบครัวฐานะดี และอีกประเด็นที่เป็นข้อสังเกต คือเครื่องแบบของทั้ง 2 หลักสูตรไม่เหมือนกัน โดยเด็กหลักสูตรพิเศษ เครื่องแบบนักเรียนจะดูหรูหรากว่า เมื่อรวมกับเครื่องประดับส่วนตัวด้วยแล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นความเหลื่อมล้ำ ที่ทำให้เด็กหลักสูตรปกติกับหลักสูตรพิเศษ ถูกแบ่งแยกกันเองโดยไม่รู้ตัว
เช่นเดียวกัน แม้กระทั่งสถาบันอุดมศึกษาอันดับต้นๆ ของประเทศที่เด็กไทยใฝ่ฝันจะเข้าเรียนมากที่สุด ก็ยังเคยประสบปัญหาดังกล่าว โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เล่าถึงกรณีศึกษาเรื่องหนึ่ง ที่เคยเกิดขึ้นในรั้วสีชมพูแห่งนี้ ซึ่งแม้แต่ที่นี่เอง ก็ยังไม่พ้นจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ
“ขอยกตัวอย่างจริงๆ นะครับ ผมเคยทำโครงการจุฬาชนบท เราให้ทุนนักเรียนยากจน ผมต้องลงพื้นที่ เอาเด็กมาติวเข้มช่วงซัมเมอร์ มีเงินเดือนด้วยนะ สมัยนั้น 2 พันบาทต่อเดือน เด็กก็ดีใจ กินนิดเดียวที่เหลือส่งกลับบ้าน แต่ถามว่าล้มเหลวตรงไหนครับ คือมีรายหนึ่งมาจากอีสาน จนมาก แต่อยากเรียนพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เราก็ติวให้ แล้วเขาก็ได้เข้าเรียนจริงๆ แต่ท้ายที่สุดล้มเหลวครับ
เราให้โอกาสเขาได้เรียน เพิ่มโอกาสให้เขา แต่ล้มเหลวเพราะ เด็กบัญชีของเรา ใครอยู่ที่นี่คงรู้ดี กระเป๋าใบนึงเท่าไหร่ รองเท้าแบรนด์เนมเท่าไร เขาล้มเหลวครับ คือสายตาที่มองเขา มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เด็กพาณิชยศาสตร์ของเรา นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก” ผศ.ดร.จุมพล กล่าว
อ.จุมพล ยังกล่าวต่อไปถึงสาเหตุที่ทำให้ระบบการศึกษาไทย ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง เพราะนักคิด นักวิชาการ หรือผู้คนระดับปัญญาชนส่วนใหญ่มักติดอยู่กับกรอบ “ลัทธิทุนนิยม” ที่มองการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ หรือมูลค่าเชิงเงินๆ ทองๆ เท่านั้น ทำให้การแก้ปัญหามักจะวนอยู่กับเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณ เช่นการพยายามให้เด็กมีการศึกษาในโรงเรียนนานขึ้นโดยเชื่อว่าเด็กที่เรียนในระดับสูงๆ จะมีความรู้มากขึ้น แต่ความเป็นเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
“จำนวนปีในโรงเรียนเพิ่มขึ้น น่าจะสะสมความรู้ได้มากขึ้น เลยมาตั้งคำถามว่านี่คือความรู้จริง หรือว่าเป็นแค่ขยะของข้อมูล ยิ่งอยู่ในโรงเรียนเยอะๆ ยิ่งมีขยะเพิ่มขึ้น จนสลัดไม่หลุดจากขยะของข้อมูล แบบนี้ไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นแค่ข้อมูลข่าวสารที่มาอย่างรวดเร็ว มันไม่ไปถึงความรู้และปัญหา ขณะที่แต่ละคนก็เร่งจะป้อนข้อมูลข่าวสารให้แก่คนในระบบโรงเรียน” อ.จุมพล ตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาว่าให้ความรู้ได้จริงหรือไม่ ซึ่งสอดคล้องกับเสียงบ่นของเยาวชนหลายคนในสังคมออนไลน์ ที่ต้องทนเรียนสารพัดวิชาที่ตัวเองไม่ได้ชอบ หากแต่ต้องทำคะแนนให้สูงไว้เพราะมีผลต่อการสอบเข้าในระดับที่สูงขึ้นไป จนเป็นที่มาของการกวดวิชาแบบหามรุ่งหามค่ำของเด็กไทยยุคนี้ เพียงเพื่อไปสอบเท่านั้น มากกว่าเพื่อจะให้มีความรู้ในวิชานั้นจริงๆ
รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก็ได้ตั้งข้อสังเกตที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ การศึกษาในปัจจุบัน มุ่งเน้นแต่เพียงวัดผลเฉพาะความสามารถทางวิชาการเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น O-Net A-Net หรืออื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงสารพัดงานประกวดทักษะวิชาการ ไล่ตั้งแต่ระดับจังหวัดถึงระดับประเทศ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นโดยที่หลายฝ่ายอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์
“สิ่งเหล่านี้มันไปบีบให้โรงเรียนวัดคุณค่าจากการจัดอันดับการแข่งขัน ซึ่งมีผลต่อนโยบายที่ผิดเพี้ยนของรัฐบาลในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เรามีนโยบายมากมาย ลงไปสู่พื้นที่ ตั้งแต่โรงเรียนในฝัน โรงเรียนดีประจำตำบล โรงเรียน World Class อะไรพวกนี้ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเด็ก จากชนบทเข้าสู่เมืองมากขึ้น ไปดูตามโรงเรียนใหญ่ๆ แต่ละจังหวัด รอบโรงเรียนจะเป็นเหมือนสลัมนักเรียน คือมีหอพักเต็มไปหมด และในหอพักก็จะมีปัญหาตามมามากมาย
แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ต้องการให้เด็กชนะการแข่งขันมากขึ้น หรือถ้าท่านอยู่ กทม. ไปดูแถวๆ พญาไทนะครับ เสาร์-อาทิตย์จะเต็มไปด้วยรถตู้ จากแม่กลองบ้าง นครสวรรค์บ้าง อุทัยธานีบ้าง เด็กรอบนอกแห่กันเข้ามาเรียน เพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในระบบการศึกษา ค่านิยมนี้เองที่ไปกระตุ้นความเหลื่อมล้ำ ให้มากขึ้นไปอีก” รศ.ดร.ประวิต กล่าว
นักวิชาการจาก ม.มหาสารคาม ชี้ให้เห็นว่า เราไม่อาจใช้มิติทางเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียวมาแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทั้งนี้ระบบการศึกษาที่ควรจะเป็น นอกจากวิชาการแล้ว เด็กควรจะมีทักษะชีวิต และมีสุขภาพที่ดีด้วย ทั้งนี้หากจะขับเคลื่อนวาระดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โรงเรียนจะต้องมีอิสระในการจัดการเรียนการสอนได้เอง ภายใต้การดูแลของท้องถิ่น มากกว่าที่จะให้ส่วนกลางกำหนดไปทั้งหมด
“ขอยกตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมเลย คือการแจกแท็บเล็ตให้เด็ก ป.1 ถ้าเรามองมิติด้านเสมอภาค เราจะเห็นว่าเด็ก ป.1 ทุกคนมีแท็บเล็ตในการเรียน แต่ถ้ามองในมิติของชุมชน เราพยายามไปวางกรอบว่าคุณต้องอยู่ในกรอบการเรียนรู้ด้วยแท็บเล็ต ทั้งที่จริงๆ แล้วระหว่างเด็กบ้านนอกกับเด็กในเมือง กรอบกระบวนการเรียนรู้ระหว่างครอบครัวกับเด็กต่างกันเยอะนะครับ อย่างผมก็เป็นเด็กต่างจังหวัด เคยอยู่ท้องทุ่งท้องนามาก่อน ผมรู้ว่าห้องเรียนผมมันเปิดกว้างมากเลย แต่การที่วันหนึ่งรัฐบาลเอาโลกของผมมาไว้ในแท็บเล็ต ผมคิดว่ามันเป็นวิธีสร้างกรอบความคิด มุมมองของมนุษย์ ที่ผมว่ามันโหดร้ายมาก
ดังนั้นเราต้องปล่อยให้ความหลากหลายมันเกิดขึ้น และลดกระแสค่านิยมแข่งขันเอาผลแพ้ชนะลงในการศึกษา หรือการเข้าสู่งาน หรือเข้าสู่รายได้ที่ดี ต้องสร้างค่านิยมแบบใหม่ที่ดีให้เกิดขึ้นจริงๆ ตรงนี้ถึงจะเป็นทางออกที่เหมาะสมครับ” รศ.ดร.ประวิต กล่าว ทิ้งท้าย
ปัจจุบันมีความพยายามที่จะจัดการศึกษาทางเลือกหลายประเภท ดังจะได้เห็นโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบเฉพาะมากขึ้น ทั้งโรงเรียนที่อิงสถาบันศาสนา หรืออิงวิถีชีวิตชุมชน หรือแม้แต่การที่พ่อแม่สอนหนังสือลูกเองที่บ้าน (Home School) แต่ก็ยังจัดว่าเป็นส่วนน้อย หากเทียบกับสถาบันการศึกษากระแสหลัก ที่นับวันจะใช้นโยบายทำทุกอย่างเพื่อดึงดูดเด็กเก่ง และผลักไสเด็กปานกลางจนถึงเด็กเรียนอ่อนให้ออกไปจากระบบการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
จนบางที..เราอาจต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง ว่าการศึกษาของเราวันนี้ เดินไปถูกทางแล้วจริงหรือ?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี