"เชื้อชั่วไม่มีวันตาย" คงเป็นคำกล่าวที่เหมาะสมแล้ว สำหรับ “ยาเสพติด” สารพัดชนิดที่ระบาดและฝังรากลึกไปทั่วทุกมุมโลก แม้มีความพยายามปราบปรามหนักเพียงใด แต่ก็ยังคงพบเห็นทาสยานรกเดินอยู่เกลื่อนเมือง
สำหรับประเทศไทย ย้อนกลับไปในปี 2504 รัฐบาลในขณะนั้นได้จัดตั้ง คณะกรรมการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ ใช้ชื่อย่อว่า ป.ป.ส. สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีโดยมีอธิบดีกรมตำรวจเป็นประธาน และมีผู้แทนจากทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และมีกฎหมายปราบปรามยาเสพติดอย่างเป็นทางการ คือ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519
เท่ากับว่ากว่า 50 ปีแล้ว ที่เราพยายามปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างจริงจัง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ด้วยปัจจัยต่างๆ นานา วันนี้สกู๊ปหน้า 5 จะพาทุกท่านเข้าไปทำความรู้จักกับยาเสพติดบางชนิดที่ทาง ป.ป.ส. บอกว่า เป็นยาเสพติดยอดนิยม ชนิดที่เรียกว่า จับกุมและยึดของกลางได้เป็นประจำและยึดได้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว
จากฝิ่นและเฮโรอีนสู่ยาบ้า
หากใครเป็นคนยุคเก่า มีอายุค่อนข้างมากเสียหน่อยคงจะทราบดีว่าในอดีตนั้นสิ่งเสพติดที่ร้ายแรงที่สุดในสังคมไทยคือฝิ่นและเฮโรอีน ในประวัติศาสตร์โลกนั้นไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้ริเริ่มปลูกฝิ่นเป็นชาติแรก แต่แพทย์สมัยโบราณนั้น นิยมใช้ฝิ่นแทนยาชาให้กับผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากยังไม่มีการใช้ยาสลบเป็นมาตรฐานเช่นทุกวันนี้ หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่ามนุษย์เริ่มใช้ฝิ่นเป็นสิ่งเสพติดนั้นเริ่มขึ้นที่ประเทศจีน โดยเฉพาะในยุคที่ชาวตะวันตกเข้ามาค้าขายและล่าอาณานิคมในเอเชีย
ปรากฏว่า ชาวจีนนั้นนิยมสูบฝิ่นกันมากถึงขนาดรัฐบาลจีน (ราชวงศ์ชิง) กังวลว่า สุขภาพคนจีนจะแย่ลงเพราะมีแต่คนติดฝิ่น จึงมีการต่อต้านการลักลอบค่าฝิ่นทั้งของชาวจีนเองและชาวอังกฤษ จึงทำให้เกิดสงครามฝิ่นขึ้น และจีนแพ้สงครามจึงต้องเสียเกาะฮ่องกงให้อังกฤษในที่สุด ขณะที่เฮโรอีนนั้นเป็นการนำฝิ่นมาสกัดสารเคมีบางชนิดจนได้เป็นผงเกล็ดสีขาว มีฤทธิ์ที่รุนแรงกว่าฝิ่นและเสพติดได้ง่ายกว่า เฮโรอีนนั้นเสพโดยการฉีดเข้าเส้นเลือดทำให้ผู้เสพจะถูกสังเกตได้ง่ายเพราะที่แขนจะมีรอยเข็มฉีดยาค่อนข้างชัดเจนเนื่องจากการใช้ยาบ่อยครั้ง
“ปัจจุบันฝิ่นกับเฮโรอีนลดลงไปเยอะครับ อาจจะมีแถวเพื่อนบ้านที่ปลูกแล้วเล็ดรอดเข้ามาบ้านเราบ้างแต่ก็ไม่มากนัก ไม่เหมือนยาบ้าที่ทุกปีจับได้ทีละมากๆ ตลอด” เป็นคำบอกเล่าของนายวินัย มณฑาพงษ์ ที่ปรึกษาด้านกฏหมายของ ป.ป.ส. โดยจากสถิติล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2554 มียาบ้าที่ยึดเป็นของกลางและนำไปเผาทำลายจำนวน 1,936 กิโลกรัม (ราว 21.5 ล้านเม็ด) ขณะที่เฮโรอีนมีเพียง 58 กิโลกรัม และฝิ่นมีเพียง 5 กิโลกรัม เท่านั้น
โดยสำหรับยาบ้านั้นเดิมทีถูกเรียกว่า “ยาม้า” หรือ “ยาขยัน” มีลักษณะเป็นเม็ด นิยมกินกันในหมู่ผู้ใช้แรงงาน ผู้ที่ต้องขับรถเป็นเวลานานๆ หรือผู้ที่ดูหนังสือเตรียมสอบ แต่เพราะระยะหลังๆ มีการเติมส่วนผสมแปลกๆ ที่อันตรายเข้าไปเช่น ยากันยุง ยาฆ่าหญ้า ฯลฯ และหลายครั้งผู้ที่เสพบ่อยๆ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นอยู่เสมอ ดังที่เป็นข่าวคนเมายาบ้าจับคนเป็นตัวประกัน เพราะฤทธิ์ของ เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) ที่ส่งผลทั้งกระตุ้นประสาทและหลอนประสาท
ทำให้ในปี พ.ศ.2539 ยาม้าถูกเปลี่ยนชื่อเป็นยาบ้า และถูกเลื่อนขึ้นไปเป็นสิ่งเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 เช่นเดียวกับเฮโรอีน (หมายถึงยาเสพติดประเภทร้ายแรง ห้ามครอบครองหรือจำหน่าย และมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต) แต่ถึงกระนั้น ด้วยความต้องการในตลาดค่อนข้างสูง ทำให้ทั้งขบวนการผลิตยาบ้าจากฝั่งเพื่อนบ้าน และเอเย่นต์รายน้อยรายใหญ่ในบ้านเราพร้อมที่จะเสี่ยงกับอัตราโทษดังกล่าวอยู่เสมอโดยพิสูจน์ได้จากสถิติการจับกุมที่ผ่านมามักจะยึดยาบ้าได้ครั้งละหลักหลายพันไปจนถึงหลักหมื่นเม็ดขึ้นไปแทบทั้งสิ้น
ยาไอซ์ : ยาบ้าของสังคมไฮโซ
ยาไอซ์ หรือที่เรียกกันในหมู่ผู้เสพว่า “น้ำแข็ง” หรือ “สเกต” นั้นมีโครงสร้างทางเคมีแบบเดียวกับยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) แต่สกัดออกมาได้บริสุทธิ์กว่าจึงออกฤทธิ์ได้รวดเร็วและรุนแรงกว่ายาบ้าหลายเท่าตัว ด้วยความที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่ายาบ้าทั่วไปมันจึงมีราคาสูงมาก ทำให้ผู้เสพยาไอซ์ส่วนใหญ่นั้นเป็นวัยรุ่นหรือหนุ่มสาววัยทำงานผู้มีฐานะค่อนข้างดีที่มักไปรวมกลุ่มกันตามสถานที่เที่ยวกลางคืนหรือไม่ก็อาจจะเป็นห้องส่วนตัวโดยจะมีเอเย่นต์มาส่งยาให้ถึงที่ตามที่เป็นข่าวว่า “ปาร์ตี้ยาไอซ์” ซึ่งผู้เสพจะมีอาการเคลิบเคลิ้ม สนุกสนาน และยังกระตุ้นอารมณ์ทางเพศอีกด้วย
“ปัจจุบันยาไอซ์มาแรงมาก เรียกว่ารองจากยาบ้าเลย แน่นอนว่าราคาก็สูงกว่ายาบ้าอยู่มากเช่นกัน โดยถ้าขายส่งเป็นกิโลกรัมก็ตกกิโลละ 1.5 ถึง 2 ล้านบาท แต่ถ้าขายปลีกให้ผู้เสพเขาจะขายเป็นกรัม ก็จะเป็นเกล็ดเล็กๆ ราคาประมาณกรัมละ 2,500 ถึง 3,000 บาท” คุณวินัยบอกกับเราถึงแนวโน้มการแพร่ระบาดของยาไอซ์ที่มีมากขึ้น โดยเมื่อปี พ.ศ.2554 สามารถยึดยาไอซ์ได้ถึง 147 กิโลกรัม มูลค่ามากกว่า 4 ร้อยล้านบาท นับเป็นยาเสพติดที่ยึดได้เป็นอันดับสองรองจากยาบ้าเลยทีเดียว
จับตาพืชพื้นบ้านสู่ยาเสพติด
แม้ปัจจุบันทั้งกัญชาและใบกระท่อมจะถูกกำหนดให้เป็นสิ่งเสพติดที่ผิดกฎหมาย แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากบางฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่มีหัวคิดไปในทางศิลปะและเด็กแนว (อินดี้) ที่นิยมสูบกัญชาเวลาสร้างสรรค์ผลงานของตน แม้แต่นักดนตรีชื่อดังบางคนก็ยังเชื่อว่าการสูบกัญชาจะทำให้เข้าถึงอารมณ์ทางดนตรีได้ชัดเจนขึ้นจนถึงกับติดกัญชาและต้องเข้ารับการบำบัดมาแล้ว โดยผู้ที่ต้องการให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายนั้นให้เหตุผลว่า ผู้ที่เมากัญชาไม่เคยถือมีดถือปืนไปไล่จี้คอหรือทำร้ายใครแบบเดียวกับผู้ที่เมายาบ้า ซึ่งหากกัญชาจะทำร้ายสุขภาพตัวเองคนๆ นั้นก็น่าจะมีสิทธิ์ในร่างกายของเขา ขณะที่ใบกระท่อมนั้นผูกพันกับชีวิตเกษตรกรมาช้านาน โดยฤทธิ์ของใบกระท่อมนั้นทำให้ผู้ที่เสพรู้สึกอดทน สู้แดดร้อนๆ สู้งานที่ใช้แรงงานหนักๆ ได้ดี
“ตอนนี้ในสหรัฐอเมริกากำลังมีการถกเถียงกันอยู่ว่า จะให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายหรือไม่ แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่เห็นด้วยเท่าไร เพราะการสูบกัญชาอาจเป็นก้าวแรกของการเริ่มริลองสิ่งเสพติดอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่าต่อไปได้ในอนาคต ที่สำคัญยังไงมันก็ส่งผลร้ายต่อระบบสมองของผู้เสพอยู่ดี” นอกจากนี้คุณวินัยยังได้พูดถึงกรณีใบกระท่อมไว้อีกว่าคนสมัยก่อนนิยมเคี้ยวใบกระท่อมเวลาจะทำงาน แต่คนสมัยนี้กลับนำใบกระท่อมไปผสมกับยาแก้ไอบ้าง เครื่องดื่มชูกำลังบ้าง กลายเป็นยาเสพติดที่เรียกกันเองว่า “สี่คูณร้อย” ทำให้ใบกระท่อมยังต้องเป็นสิ่งผิดกฎหมายต่อไป
ต่อคำถามถึงรูปแบบของขบวนการค้ายาเสพติดในปัจจุบัน คุณวินัยบอกว่านับวันจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการจัดรูปแบบเป็นองค์กร แบ่งเป็นผู้สั่งการ (นายทุนผู้บงการอยู่เบื้องหลัง) และผู้ดำเนินการ (ผู้ผลิต ขนส่ง จำหน่าย) ซึ่งในการจับกุมนั้นมักจะไม่สามารถสาวไปถึงผู้สั่งการหรือผู้บงการได้เพราะผู้ดำเนินการนั้นก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองกำลังทำงานให้ใคร รู้แต่ต้องไปส่งของหรือนำไปจำหน่ายเท่านั้น
จากการเปิดเผยผลสำรวจของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพลล์) เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2555 เกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในสังคมไทย พบว่าร้อยละ 49.87 ระบุว่า ปัญหายาเสพติดในสังคมไทยรุนแรงมาก และร้อยละ 32.40 ระบุว่า รุนแรงถึงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 52.69 ระบุว่า พบปัญหายาเสพติดระบาดในชุมชนของตน แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังตระหนักว่าปัญหายาเสพติดเป็นภัยร้ายที่คุกคามต่อความมั่นคงของชาติและความสงบเรียบร้อยของสังคม ดังนั้นจึงต้องฝากความหวังไว้กับภาครัฐ ทั้งรัฐบาล ตำรวจ ทหาร และ ป.ป.ส. ให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อที่ยาเสพติดจะได้ลดการระบาดลงในสังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นกำลังสำคัญของชาติ
อย่าให้เมืองไทยต้องซ้ำรอย “ขี้โรคเอเชีย” เหมือนเมืองจีนสมัยสงครามฝิ่นที่คนติดยากันทั้งบ้านทั้งเมือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี