ในตอนที่แล้ว เราได้สะท้อนปัญหาการศึกษาไทย ทั้งการเปรียบเทียบกับต่างประเทศในกรณีไทย-ญี่ปุ่น เรื่องของบุคลิกภาพคน ที่เกิดจากการหล่อหลอมด้วยระบบการศึกษา หรือเสียงจากครู ที่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ที่มีหน้าที่ในการสอนเด็ก แต่กลับไม่มีเวลาสอน เพราะต้องไปทำงานอื่นๆ โดยเฉพาะงานเอกสาร วันนี้เราจะมารับฟังปัญหากันต่อ และทางออกจากข้อเสนอแนะของคนทั่วไป ที่อาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในแวดวงการศึกษาเสมอไปก็ได้
เราลืม “คนนอกระบบ” ไปหรือเปล่า
“วันนี้เรามีกลุ่มประชากรกว่า 38 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับการดูแล แฝงตัวอยู่ตามโรงงานบ้าง ตามชุมชน ตามหมู่บ้านบ้าง ประกอบอาชีพหลากหลายชนิด คนกลุ่มใหญ่นี้เอง ที่ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาของเรายังไม่ดีพอ” ตัวแทนจากภาคการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) รายหนึ่ง แสดงความรู้สึกตัดพ้อ เกี่ยวกับแผนพัฒนาการศึกษา ที่ยังไม่ค่อยใส่ใจกับกลุ่มคนที่อยู่นอกระบบการศึกษาปกติ (ระบบโรงเรียน) เท่าที่ควร
ตัวแทนคนดังกล่าว ตั้งข้อสังเกตว่าในแผนพัฒนาการศึกษานี้ ไม่มีเรื่องของคนนอกระบบอยู่เลย ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งไปหาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) บ้าง หรือในส่วนของอาชีวศึกษาบ้าง หรืออุดมศึกษาบ้าง แต่คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่นอกระบบเหล่านี้ กลับไม่ได้รับการดูแล ทั้งที่งานของ กศน. นั้นมีภาระหน้าที่กว้างขวางมาก ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิตตั้งแต่เกิด ทำงาน จนกระทั่งตาย สิ่งเหล่านี้กลับไม่ถูกบรรจุลงในแผนยุทธศาสตร์การศึกษาแต่อย่างใด จึงอยากให้หันมามองคนกลุ่มนี้ ซึ่งถูกมองมาตลอดว่าเป็นพวกไม่รู้หนังสือ ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของครูนอกระบบ ก็ต้องมาดูว่าจะจัดสรรงบประมาณลงไปที่ครูที่มีหน้าที่รับผิดชอบอย่างไร
“วันนี้เราทุ่มเทกับเด็กที่เรียนในระบบ แล้วเรียนก็ไม่จบ ท้องออกมาแล้วไปอยู่ไหน ติดยาเสพติดออกมาแล้วไปอยู่ไหน อยากจะบอกว่าเด็กพวกนี้อยู่กับ กศน. ทั้งนั้น แล้วครู กศน. ก็ดี ผอ.กศน. ก็ดี ต้องมานั่งแก้ปัญหาเพื่อเอาคนดีกลับคืนสู่สังคมให้ได้ อย่างเด็กติดยาเสพติด 1 คน มาอยู่กับเรา เราก็ต้องค่อยๆ ดูแล ประคบประหงมกันเหมือนลูก เด็กที่ท้องจากในระบบแล้วกลับไปไม่ได้ มาอยู่กับเรา เราก็ต้องสอน
สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือคุณภาพของประชากร ที่เราต้องดูแล ที่เรียกว่า Long Live Education หรือทักษะชีวิต ทำอย่างไรเรียนแล้วจะไม่กินยาตาย ทำอย่างไรอกหักแล้วจะไม่กระโดดตึกตาย สิ่งเหล่านี้มากกว่า ที่จะเป็นตัวพัฒนาคุณภาพชีวิต ถ้าคุณภาพชีวิตพัฒนา อาชีพมันก็พัฒนา แล้วถ้าอาชีพพัฒนา เศรษฐกิจและอื่นๆ ก็จะพัฒนาไปกันทั้งหมด” ตัวแทนภาค กศน. กล่าวย้ำอีกครั้ง
สอดคล้องกับ ดร.ธานินท์ ผะเอม รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่มองว่าบางอาชีพมีความสำคัญมากในการพัฒนาประเทศ แต่กลับถูกมองอย่างดูถูกดูแคลน เช่นคนขับรถส่งของ ทั้งที่เรื่องของการขนส่ง (Logistics) เป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญมากของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเมื่อจะเปิดประชาคมอาเซียน (Asean Community) ในอีกไม่ถึง 2 ปีข้างหน้า
“ถ้าหมอเป็นวิชาชีพ เป็น Professional ได้ หมออาจทำให้คนตายได้ทีละคน แต่คนขับรถอาจถึงกับทำให้คนตายหมู่ได้นะครับ แล้วทำไมเขาไม่เป็นวิชาชีพที่มีเกียรติ ที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง เคยมีคดีคนขับรถเมล์ ไปชนกับรถลูกเศรษฐี ภาพที่สะท้อนออกมา มันแสดงถึงทัศนคติบางอย่าง ที่ผมว่าไม่ดีเลย เราแปลออกมาเป็นเรื่องของความเป็นธรรมใช่หรือไม่?” รองเลขาฯ สภาพัฒน์ ตั้งข้อสังเกต
“6 ข้อ” สู่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด
มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ระบบราชการ ไม่เว้นแม้แต่กระทรวงศึกษาธิการ ดีแต่เขียนแผน เขียนยุทธศาสตร์ เขียนโครงการไปวันๆ หนึ่ง แต่ไม่เคยใช้แผนที่เขียนไว้ทำอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งประเด็นนี้ ทนง โชติสรยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหา และทางออกที่รวมแล้วมีด้วยกันทั้งหมด 6 ประการ ดังนี้
1.การศึกษาไทยเราขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ที่ผ่านมาแผนที่เขียนกันล้วนดูดี แต่เป็นการเขียนแบบกว้างๆ ไม่ได้ลงลึกถึงปัญหาที่แท้จริง เช่นหากเราระบุไปเลยว่า “ปัญหาสาธารณสุข” (เด็กอ้วน ผอม แคระแกร็น กระดูกสันหลังคดงอผิดรูป ฯลฯ) เป็นปัญหาสำคัญของคนไทย แล้วบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอน ซึ่งปัญหาสาธารณสุขนี้ ส่วนใหญ่แก้ได้ด้วยการศึกษา
“อย่างวันนี้เรายังสอนเด็กว่าให้กินน้ำวันละ 8 แก้ว เราก็ไปสอนว่ากินน้ำอย่างไรจึงจะเหมาะสม ในอนาคตเด็กอาจจะไม่เป็นไมเกรน ไม่เป็นมะเร็ง หรืออื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมด เพียงแค่การกินน้ำอย่างเหมาะสมเท่านั้น อย่างสิงคโปร์ เขาสอนการใช้ไหมขัดฟันโดยเอาไว้ในหนังสือเรียน มีรูปภาพอธิบายเป็นฉากๆ เลย ขณะที่บ้านเราต้องอาศัยทันตแพทย์เวียนกันสอน”
2.เราไม่เคยถกกันถึงปัญหาอย่างจริงจัง จนนำไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาที่สามารถใช้ได้กับคนทั่วไป ไม่ใช่แต่เพียงคนที่เก่ง หรือหัวดีเป็นพิเศษเท่านั้น ขณะที่สิงคโปร์ มีการทำแผนพัฒนาการศึกษา โดยมี “วิศวกรระบบ” (System Engineer) เป็นที่ปรึกษา เพราะคนกลุ่มนี้ถูกสอนให้คิดเป็นระบบ (Process) จนเกิดเป็นแผนยุทธศาสตร์ขึ้นมา เพื่อให้นำไปใช้กับครูและโรงเรียนทั่วประเทศ จนทำให้ระบบการศึกษาของสิงคโปร์ กลายเป็นระบบที่ดีอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้น คุณทนงมองว่า เราขาดมุมมองของภาคเอกชน ซึ่งรู้ดีที่สุดว่าแรงงานประเภทไหนที่ตลาดต้องการในอนาคต และภาคเอกชนมักมีวิธีคิดที่ออกไปจากกรอบเดิมๆ ที่คนทั่วไปเคยชินเสมอ
3.สร้างแรงจูงใจ ที่จะทำให้เป้าหมายที่ต้องการเกิดขึ้นได้ เช่นวันนี้เราบอกว่าขลาดแคลนครูในชนบท แต่ในความเป็นจริง เรามีนักศึกษาครูจำนวนมหาศาล ถ้าประสานกับมหาวิทยาลัย ให้นำครูจบใหม่เหล่านี้ไปสอนในชนบท ในปีเดียวก็แก้ปัญหาได้แล้ว และไม่ต้องเสียเงินจ้าง เพราะถือว่าไปฝึกสอน หรือการให้ชุมชนสามารถหาครูอาสาสมัครมาสอนได้ โดยไม่ต้องไปกีดกันเขาด้วยใบประกอบวิชาชีพครู เท่านี้เราก็จะมีครูอาสาสมัครเต็มไปหมด
4.ยังขาดบุคลากรที่เก่งในการวางแผนยุทธศาสตร์ในปริมาณที่เหมาะสม 5.ขาดองค์กรอิสระด้านการศึกษาโดยเฉพาะ ที่สามารถถ่วงดุลกับอำนาจการเมืองได้ และ 6.การตรวจสอบสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว ว่าเกิดผลดีจริงหรือไม่ และอย่างไร
“แรงบันดาลใจ” วิชานี้ไม่มีสอน
ตัวแทนภาคครู-อาจารย์อีกรายหนึ่ง เล่าถึงประสบการณ์ที่พบกับปัญหาของการศึกษาไทยว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ มีคุณภาพทางการศึกษาน้อยลง ซึ่งเมื่อไล่ย้อนสาเหตุแล้ว ต้องย้อนลงไปเป็นทอดๆ จนถึงระดับประถมศึกษา แล้วก็พบว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้เด็กสักคน สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพเท่าที่เขาจะเป็นได้ คือสิ่งที่เรียกว่า “แรงบันดาลใจ”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ครู ครูที่ดีจะสามารถให้แรงบันดาลใจ ให้เด็กไปเรียนต่อ ไปอ่านหนังสือเพิ่มที่บ้าน เพราะการเรียนไม่ได้จบที่ในห้อง อย่างในต่างประเทศ ผมเห็นเด็ก ม.ปลายของเขา เรียนแค่บ่าย 3 โมง เลิกแล้ว ก็ไปทำงาน ไปล้างจาน เขาก็มีคุณภาพ พัฒนาประเทศไปได้ ทำไมเด็กเราต้องเรียนถึง 5 โมงเย็น แล้วก็ไปติวต่อ เสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปติวอีก เรียนเยอะกว่าเขา แต่คุณภาพกลับไม่ได้ดีกว่าเขา
วันนี้ไปมองแต่เด็กที่เก่ง แต่เด็กอีกมากที่ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนพิเศษ ก็ขาดโอกาส ทำอย่างไรจะทำให้ครูในโรงเรียนธรรมดาๆ เหล่านี้ ยกระดับขึ้นมาได้ ถ้าเราสามารถดึงคนเก่งๆ มาเป็นครู และทำให้ครูยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ ผมว่าอะไรๆ มันก็จะดีขึ้น” ตัวแทนภาคครู-อาจารย์ท่านนี้ กล่าวทิ้งท้ายเพื่อให้แง่คิด
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ 2550 มาตรา 80 (3) ระบุไว้ว่าคุณสมบัติที่ต้องปลูกฝังแก่คนไทย ประกอบด้วยมีจิตสำนึกของความเป็นไทย มีวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ (6) ระบุไว้ว่าต้องสนับสนุนให้รู้รักสามัคคี ส่งเสริมการเรียนรู้ ปลูดจิตสำนึกและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ ตลอดจนค่านิยมอันดีงามและภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเราอาจสรุปได้สั้นๆ ว่านี่บุคลิกภาพที่อยากเห็นคนไทยเป็น และจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่พูดไปเพียงวันๆ หนึ่งเท่านั้น
แต่เป้าหมายนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเป็นการบูรณาการร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชน และหน่วยย่อยที่เล็กที่สุด แต่สำคัญที่สุด นั่นคือ ครอบครัว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี