ไม่นานมานี้ มีข่าวที่คนไทยไม่ค่อยรับรู้หรือให้ความสนใจมากนัก แต่เป็นข่าวดังในต่างประเทศ คือกรณีที่ ปีเตอร์ รูท (Peter Root) และ แมรี่ ทอมป์สัน (Mary Thompson) คู่สามี-ภรรยาชาวอังกฤษ ที่เดินทางไปทั่วโลกด้วยจักรยาน กลับมาถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิต ขณะที่ปั่นจักรยานอยู่ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ของประเทศไทย ทำให้สื่อบางแห่งของชาติตะวันตก
จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศอันตรายอันดับต้นๆ ของโลก จากอุบัติเหตุบนท้องถนน
ซึ่งนอกจากกรณี 2 นักปั่นชาวอังกฤษแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากมาย เพียงแต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้น แต่ในสังคมออนไลน์ ได้มีการบอกเล่าต่อๆ กัน ถึงความอันตรายดังกล่าว ล่าสุดแม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังจัดอันดับให้ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 6 จาก 10 อันดับ ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุดในโลก สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งภาพลบที่อาจส่งผลต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้
‘ต่างชาติ’ กับอุบัติเหตุ
เป็นที่ทราบกันดี ว่าเทศกาลสำคัญๆ ที่เป็นวันหยุดยาวของไทย ทั้งปีใหม่และสงกรานต์ หลายคนที่ทำงานอยู่ใน กทม. ก็เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาในต่างจังหวัด หรือนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ก็เดินทางไปท่องเที่ยวยังพื้นที่ต่างๆ แน่นอนว่าในจำนวนนี้ หลายคนไปแล้วกลับไม่ถึงบ้าน หรือกลับมาไม่ครบ 32 เพราะเสียชีวิต หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งถ้าเป็นคนไทยคงเคยชินแล้ว แต่สำหรับชาวต่างชาติ ถือเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่มาก
ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ แตะกระโทก นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ในฐานะผู้ซึ่งศึกษาปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก คือแหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มักจะมีบริการให้เช่าจักรยานยนต์มาขับขี่ ซึ่งชาวต่างชาติจากซีกโลกตะวันตก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะหลักเหมือนคนไทย ทำให้ไม่มีใบขับขี่จักรยานยนต์โดยเฉพาะ นั่นหมายถึงอาจไม่มีความชำนาญเพียงพอที่จะนำออกมาขี่บนถนนจริงๆ
“ปัญหาที่เราพบ ตอนไปดูที่ภูเก็ตกับสมุย เมื่อเราดูสัดส่วนผู้ถือใบขับขี่รถยนต์กับรถจักรยานยนต์ ในประเทศหลักๆ ที่มาเที่ยวเมืองไทย เราพบว่าทั้งอังกฤษ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เขามีการครอบครองจักรยานยนต์น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ ทำให้เราสงสัยว่า คนเหล่านั้นที่มาขี่จักรยานยนต์ในเมืองไทย ในเมืองท่องเที่ยวไม่มีใบขับขี่ และไม่เคยอบรมการขับขี่ปลอดภัยมาเลย ในเรื่องของรถจักรยานยนต์ นักท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยว ถึงพบปัญหาอุบัติเหตุ ที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์เยอะ” อ.ทวีศักดิ์ ชี้ให้เห็นปัญหา
ขณะที่ นพ.ธนะพงษ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน 2 พื้นที่ที่มีปัญหาบ่อยๆ ในประเด็นนักท่องเที่ยวกับการขับขี่จักรยานยนต์ คือที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งไม่ว่านักท่องเที่ยวจะขับเป็นหรือไม่ ก็สามารถเช่าออกไปขี่บนถนนได้เลย ดังนั้นสิ่งที่อยากให้ผู้ประกอบการทำเพิ่มเติม คือน่าจะมีพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวทดลองฝึกหัดขับขี่ จนเคยชินในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะให้ออกไปยังถนนจริงๆ
“ถ้าไปดูที่หาดป่าตอง (ภูเก็ต) เขาจะมีพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวลองฝึกหัดขับ อันนี้ผมไปดู เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ขับไปขับมาไม่คล่องเลย ก็หัดขับไป จนเจ้าของรถมาดูแล้วมั่นใจเอ้า..ออกถนนใหญ่ได้ เราไปเก็บภาพ จะเห็นว่าเขาฝึกหัดเดี๋ยวนั้นเลยครับ แล้วก็ขับตระเวนเที่ยวได้เลย” นพ.ธนะพงษ์ ให้ข้อเสนอแนะ
‘ไร้วินัย’ นำไปสู่อุบัติเหตุ
หากจะถามว่า อะไรคือสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด เกือบทุกคนคงจะตอบว่า “ความประมาท” ดังจะเห็นได้จากสถิติอุบัติเหตุช่วงเทศกาลทุกปี ทั้งเมาแล้วขับ ขับรถเร็วและน่าหวาดเสียว ไม่สวมหมวกกันน็อก-คาดเข็มขัดนิรภัย หรือไม่พักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งที่ต้องขับรถติดต่อกันเป็นเวลานานนอกจากนี้ พฤติกรรมในการใช้รถใช้ถนนของคนไทย ก็ขึ้นชื่อว่าไร้ระเบียบวินัย เช่น การขับรถย้อนศร ไม่หยุดเมื่อเจอคนข้ามถนน ณ ทางม้าลาย ฝ่าไฟแดง หรือไม่เปิดไฟเลี้ยวเมื่อจะเลี้ยวรถ เป็นต้น
และไม่เพียงพฤติกรรมดังกล่าว จะเป็นนิสัยเฉพาะของคนไทยเท่านั้น หากแต่นักท่องเที่ยวก็ดี ชาวต่างชาติที่มาทำงาน หรืออยู่อาศัยในเมืองไทยนานๆ ก็ดี ก็มักจะซึมซับพฤติกรรมดังกล่าวไปด้วย เรียกว่าเสียนิสัยไปเลยทีเดียว แม้ว่าประเทศบ้านเกิดของตน จะเคยให้การอบรมสั่งสอนมาดีแค่ไหนก็ตาม ซึ่งประเด็นนี้ นพดล สันติภากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ชี้ให้เห็นถึงปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะสถิติอุบัติเหตุของจักรยานยนต์ ที่นับวันมีแต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น สอดคล้องกับการใช้รถใช้ถนนของคนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นรถจักรยานยนต์ และเป็นที่น่าสังเกตว่า นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยว แล้วเช่ารถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะเกาะสมุย ภูเก็ต ในการใช้ก็มีค่อนข้างสูง แล้วบังเอิญว่าพอเข้าประเทศไทย ก็จะปรับใช้ตามวัฒนธรรมท้องถิ่น เห็นคนไทยไม่ใส่หมวก (กันน็อก) ก็ไม่ใส่หมวกด้วย” ตัวแทนจาก บ.กลางฯ กล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ ชาตรี นฤมิตรวิจิตร ตัวแทนจาก Asians Publication ที่ปัจจุบันกำลังทำ “คู่มือความปลอดภัยของชาวต่างชาติในไทย” อยู่ กล่าวว่า ด้วยความที่ทำงานกับ Bangkok Post (หนังสือพิมพ์ไทยที่เป็นภาษาอังกฤษ) มาเป็นเวลานาน ทำให้มีเพื่อนชาวต่างชาติมากมาย และชาวต่างชาติเหล่านี้ มักจะไม่เข้าใจวัฒนธรรมการใช้รถแบบไทยๆ เช่น การข้ามถนน
“ผมอยู่ Bangkok Post มาตลอด ก็มีเพื่อนร่วมงานเป็นชาวต่างชาติ กลางคืนเขาข้ามถนน เขายืนอยู่ตรงกลาง มืดๆ มีรถคันนึงวิ่งมา เปิดไฟสูงเลย อยู่ที่เมืองนอก เข้าใจว่าผู้ขับขี่ให้สัญญาณว่า ผมเห็นท่านแล้ว เชิญข้ามได้ แต่ของประเทศไทยไม่ใช่ ส่องไฟใหญ่นี่เรียกว่าอย่าข้าม จริงๆ ผู้ขับขี่นี่ผิดอย่างมากเลยนะครับ เราไม่มีสิทธิ์เตือนเขาอย่าข้าม ถ้าเราเห็นเราต้องจอด ชาวต่างชาติเขาเข้าใจ Signal ของประเทศเขา ว่าผู้ขับขี่เห็นผมแล้ว ผมข้ามได้..เปล่าครับ ถูกชนครับ” คุณชาตรี อธิบายให้เห็นภาพ
รถเถื่อน : ราคาถูก..แต่ไร้สวัสดิการ
ปัญหาใหญ่ประการหนึ่งที่เหมือนกัน ทั้งผู้โดยสารรถสาธารณะของไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คือการเลือกใช้ยานพาหนะที่ไม่ถูกกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “รถเถื่อน” โดยกรณีของคนไทยนั้น ที่พบบ่อยคือกรณีรถตู้ที่รับ-ส่งผู้โดยสารระหว่าง กทม. กับปริมณฑล ซึ่งหลายแห่งนำรถที่จดทะเบียนส่วนบุคคล (ป้ายพื้นขาว อักษรสีฟ้า) ไม่ใช่รถที่จดทะเบียนเป็นรถรับจ้างสาธารณะ (ป้ายพื้นเหลือง อักษรสีดำ) และรถจำพวกนี้มักขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตุ ก็แทบจะเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่รถตู้ถูกกฎหมาย จึงไม่ได้ทำประกันภัยในระดับที่เหมาะสมไว้ตามที่รถสาธารณะควรจะมี
แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รถเถื่อนเหล่านี้ จะมีทั้งรถตู้ และรถบัสที่นายหน้า (บริษัททัวร์) เช่าเหมาลำมาเพื่อรับ-ส่งนักท่องเที่ยว ตามจุดชุมนุมต่างๆ เช่น ถนนข้าวสาร ซึ่งไม่ได้มาตรฐาน เช่น หากขับไกลๆ ก็ไม่มีคนขับสำรองเพื่อสลับกับพักผ่อน (แบบที่เครื่องบินมีนักบินผู้ช่วย), ขับรถได้อิสระทุกเส้นทาง ทำให้บางครั้งต้องไปยังเส้นทางที่ตนไม่ชำนาญเพียงพอ ซึ่ง ดร.สุเมธ องกิตติกุล นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า นี่เป็นปัญหาที่แม้แต่คนไทยเองก็ไม่รู้ หรือไม่ตระหนักเท่าที่ควร
“ดูป้ายทะเบียน ถ้าป้ายขาวอักษรสีฟ้า นี่รถตู้ส่วนบุคคลทั้งนั้นเลย ไม่สามารถรับจ้างได้ ถ้ารถตู้รับจ้าง ต้องป้ายเหลืองอักษรสีดำ ก็จะมีทั้งแบบที่ประจำทางและไม่ประจำทาง กรณีรถตู้ส่วนบุคคลแล้วเกิดปัญหา เพราะเขาเป็นเจ้าของรถตู้คันเดียว เป็นเจ้าของด้วยขับรถด้วย การวิ่งระยะทางไกลแล้วต้องเปลี่ยนคนขับ..เลิกพูด เป็นไปไม่ได้
จริงๆ มันมีกฎหมายว่าด้วยการรับจ้างขนส่ง เรื่องชั่วโมงการขับรถอยู่แล้ว 4 ชั่วโมง ต้องพักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง จึงขับต่อไปได้ แต่รถผิดกฎหมายจะเกิดปัญหาในลักษณะนี้ คือไม่มีการเปลี่ยนคนขับ เพราะเขาอยู่นอกกฎหมายอยู่แล้ว ความไม่ปลอดภัยคือระบบการควบคุมพฤติกรรมคนขับรถ อย่างถ้าเป็นรถประจำทาง กรมการขนส่งทางบก เข้าตรวจสอบได้ว่าวิ่งไปไหน พักที่ไหน แต่ถ้าเป็นรถทัศนาจรที่ออกจากถนนข้าวสาร เขารับจ้างโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ คนขับอาจจะเป็นคนเดียว ขับยาวจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่” นักวิจัยจาก TDRI กล่าวทิ้งท้าย
อีกไม่นาน ประเทศไทยก็จะเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ อันเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ซึ่งชาวต่างชาติจำนวนมหาศาลจะเข้ามาในบ้านเรา รวมทั้งชาวไทยเองที่ออกเดินทางท่องเที่ยวในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเป็นเทศกาลวันหยุดยาว ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่สามารถลดจำนวนผู้ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลงจากที่เป็นอยู่ได้ ในอนาคต จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยอาจจะลดลง นั่นหมายถึงการท่องเที่ยว อันเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจไทย ก็จะซบเซาไปด้วย
แล้วเราจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี