กว่า 9 ปี แล้ว กับเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (และอีก 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา) นับตั้งแต่เหตุปล้นปืนเมื่อต้นปี พ.ศ.2547 จนถึงปัจจุบัน ผู้ก่อความไม่สงบได้เปลี่ยนเป้าหมายและยุทธวิธีไปเรื่อยๆ จากเดิมที่มุ่งเน้นโจมตีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร หันมาเน้นเป้าหมายพลเรือนมากขึ้น ทั้งชาวบ้านทั่วไปไม่ว่าจะเป็นพุทธหรือมุสลิม หรือที่เป็นข่าวอยู่ในปัจจุบัน คือครูถูกทำร้าย ถูกฆ่ามากขึ้น ด้วยความเชื่อว่าครูเป็นสัญลักษณ์ของ “รัฐไทย” ที่พยายามขัดขวางแนวคิดของกลุ่มผู้ก่อเหตุ ผ่านการเรียนการสอนในระบบสามัญ
อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงแล้ว กลุ่มผู้หญิงในพื้นที่ ก็ได้รับผลกระทบที่พอๆ กัน หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากไม่ว่าจะมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ หรือผู้ที่ถูกจับไปสอบสวนตามกฏหมายพิเศษ ซึ่งบุคคลเหล่านี้อาจเป็นได้ทั้งสามีหรือลูก และเป็นกำลังสำคัญในการหารายได้มาจุนเจือครอบครัว เมื่อพวกเขาตาย เจ็บ หรือถูกจับ ก็ทำให้ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของครอบครัวเป็นไปด้วยความยากลำบาก
วันนี้สกู๊ปหน้า 5 จะพาไปรับฟังเสียงของกลุ่มสตรี ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ ว่าพวกเขามีความเห็นต่อปัญหานี้อย่างไร และที่ผ่านมา ได้มีบทบาทใดท่ามกลางความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวันบ้าง
ไฟใต้กับปัญหา “ความอยุติธรรม”
เป็นที่พูดถึงกันบ่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกรณีตากใบ-มัสยิดกรือเซะ ถึงการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ เมื่อรวมกับกรณีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฏหมายมุสลิม และการจับกุมผู้ต้องสงสัยไปทรมานเพื่อให้รับสารภาพ สิ่งเหล่านี้เหมือนปมในใจ ที่อาจไปกระตุ้นให้คนในพื้นที่เข้าร่วมกับกลุ่มก่อความไม่สงบในที่สุด
“กรณีแรกๆ ที่เราได้ทราบ คือเพื่อนๆ ผู้หญิงในกรณี 28 เมษา (เหตุปะทะที่มัสยิดกรือเซะ 28 เมษายน 2547) ก็เป็นกลุ่มที่ถูกละเลย ไม่ได้รับการเยียวยา ข้อเรียกร้องหลายๆ ครั้ง ที่เคยเสนอไปยังภาครัฐ ก็ยังติดอยู่ในข้อที่ว่า เขาคือแนวร่วม คือพวกผู้ก่อการ” เป็นเสียงจาก อุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการมูลนิธิผู้หญิง เล่าถึงปัญหาต่างๆ ที่ได้พบมาเมื่อเข้าไปทำงานร่วมกับเครือข่ายประชาชนในพื้นที่
ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจ นอกจากความไม่ไว้วางใจจากฝ่ายความมั่นคงแล้ว คุณอุษา ยังกล่าวอีกว่า แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็มีภาพลบกับชาวมุสลิมเช่นกัน คนกลุ่มนี้มักจะถูกมองอย่างหวาดระแวง และผิดปกติจากคนทั่วไปอยู่บ่อยครั้ง
“หลายครั้งที่มีเพื่อนๆ ชาวมุสลิมเข้ามาในกรุงเทพ เข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ก็ยังถูกพนักงานมองและซุบซิบกัน ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาถูกมองว่าชาวมุสลิมเท่ากับหัวรุนแรง เราเป็นพยานว่าสังคมมองพวกเขาอย่างไร สื่อเขียนถึงพวกเขาอย่างไร และความรู้สึกของคนทั่วไปที่ซึมซับผ่านการนำเสนอของสื่อด้วย”
เช่นเดียวกับ โซรยา จามจุรี ตัวแทนจาก เครือข่ายผู้หญิงภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ สำนักส่งเสริมและการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ก็กล่าวว่าปัจจุบันมีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกจับกุมคุมขังด้วยกฏหมายพิเศษ เพราะยังมีการประกาศใช้ทั้งกฏอัยการศึก และ พรก.ฉุกเฉินในพื้นที่ ทำให้ที่ผ่านมา มีผู้ถูกควบคุมตัวอยู่กว่า 5,000 คน
“เราเรียกร้องให้ยุติการใช้ความไม่เป็นธรรม ซึ่งความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น มันได้กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ไปหล่อเลี้ยงการใช้ความรุนแรง หรือทำให้การใช้ความรุนแรงนั้น มันกลายเป็นความชอบธรรม และสามารถดำเนินต่อไปได้” ตัวแทนจากเครือข่ายผู้หญิงฯ ชายแดนใต้ กล่าว
บทบาทสตรีในฐานะ “ผู้ไกล่เกลี่ย”
คุณโซรยา เล่าต่อไปว่า ปัจจุบันกลุ่มผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ จากที่เป็นผู้ต้องได้รับการเยียวยา ทั้งจากภาครัฐและภาคประชาสังคม โดยเฉพาะด้านเงินทุนการศึกษา เนื่องจากครอบครัวมุสลิมไม่นิยมการคุมกำเนิด จึงมักมีบุตรมาก หรือด้านทุนส่งเสริมอาชีพ เช่นบางรายอยากทำงานที่บ้าน เพราะจะได้สามารถเลี้ยงลูกไปด้วยได้ ก็ได้ประสานขอรับบริจาคจักรเย็บผ้า ทำให้มีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น ในระยะต่อมา เมื่อเครือข่ายสตรีในพื้นที่เริ่มเข้มแข็งขึ้น และไม่ต้องกังวลด้านเศรษฐกิจในครัวเรือนแล้ว ก็ได้พัฒนาการทำงาน ไปเป็นการทำงานเพื่อสังคม ในบทบาทของ “ผู้ไกล่เกลี่ย” ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ
“ขอยกบางกรณีที่น่าสนใจ อย่างกรณีแรก ตอนเกิดจลาจลที่เรือนจำในนราธิวาส ก็มีการลุกฮือของผู้ต้องขัง และฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ต้องไปควบคุมสถานการณ์ ตัวแทนของพวกเราได้เข้าไปมีบทบาทร่วมกับภาครัฐในการคลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งถ้าหากคลี่คลายไม่ได้ ก็อาจจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายของผู้ต้องขังเป็นจำนวนมากก็เป็นได้ แต่ท้ายที่สุดก็คลี่คลายไปได้ด้วยดี ซึ่งเราก็มีบทบาทในการไกล่เกลี่ย
หรือมีกรณีหนึ่ง ครูโดนยิงเสียชีวิต ก็มีการไปจับกุมผู้ต้องสงสัยโดยใช้อำนาจกฏอัยการศึก ซึ่งเป็นนักการภารโรงของโรงเรียนแห่งนั้น ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ เพราะคิดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่สำคัญ นักการฯ คนนี้อยู่ในเหตุการณ์ และเป็นผู้ที่พยายามพาครูไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็เสียชีวิตเสียก่อน เลือดก็เปื้อนเสื้อนักการฯ ก็เลยสงสัย ก็จับนักการฯ ไปไว้ที่ค่ายที่วังพระยา เราเห็นแล้วว่านี่ไม่ถูกต้อง ชาวบ้านไม่พอใจ กำลังจะลุกฮือแล้ว จึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ว่าที่จับไป จับไปเพราะอะไร ถ้าเกิดเพียงเพราะอยากได้ข้อมูล ก็ไม่น่าต้องใช้กฏอัยการศึก แค่เชิญไป หรือใช้การขอความร่วมมือ เขาน่าจะยินดีให้ความร่วมมือมากกว่า ท้ายที่สุดนักการฯ คงดังกล่าวก็ได้รับการปล่อยตัว”
ซึ่งบทบาทในด้านการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยนั้น ลำพังแค่มีใจมุ่งมั่นอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องมีองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องในการทำงานด้วย โดยที่ผ่านมา คุณโซรยา เล่าว่าได้มีการอบรมกลุ่มผู้หญิงในพื้นที่ในหลายหัวข้อ เช่น 1.ความเข้าใจในการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี 2.ความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน 3.ทักษะการเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ย และ 4.การใช้เครื่องมือทางสื่อสารมวลชน เช่นการอบรมการจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารกับภาคส่วนต่างๆ ในสังคม
ความรุนแรงในมิติอื่นๆ
นอกจากความรุนแรงที่อยู่ในรูปการใช้อาวุธเข่นฆ่ากันโดยตรงแล้ว ในพื้นที่ชายแดนใต้ ยังมีปัญหาความรุนแรงในมิติอื่นๆ อีก เช่นเด็กๆ ในพื้นที่ เคยชินกับทหาร-ตำรวจที่ถืออาวุธสงครามเดินไปมา พร้อมกับได้เห็นการปะทะเข่นฆ่ากันบ่อยครั้ง กลายเป็นความชินชา จนผู้ที่ลงไปทำการสำรวจพื้นที่ เคยพบว่าเด็กหลายคนอยากมีปืน และรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองหากเป็นผู้ถืออาวุธปืน เท่ากับว่าเด็กได้ซึมซับความรุนแรงไปโดยไม่รู้ตัว
หรือความรุนแรงในแง่วัฒนธรรม กล่าวคือวัฒนธรรม “ชายเป็นใหญ่” ที่ยังฝังหัวชายไทยว่าสามารถเจ้าชู้ได้ ดังจะได้ยินข่าวอยู่เสมอว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้ชาย หากไปประจำที่ไหน ก็มักจะมีสัมพันธ์เชิงลึกกับสตรีในพื้นที่อยู่เสมอ ทั้งที่ตนนั้นมีครอบครัวอยู่แล้ว และเมื่อต้องย้ายไปที่อื่น ก็จะไม่กลับมารับผิดชอบใดๆ อีก ทั้งที่หลายกรณี ฝ่ายหญิงถูกกระทำจนตั้งครรภ์ แต่ฝ่ายชายไม่มาดูแล สิ่งเหล่านี้หากเกิดในพื้นที่อื่นๆ ก็นับว่าแย่อยู่แล้ว แต่หากมาเกิดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่สตรีถูกเข้มงวดในเรื่องพวกนี้มากเป็นพิเศษ ก็จะยิ่งแย่กว่าปกติหลายเท่าตัว ทั้งนี้ยังไม่นับปัญหาทางจารีตประเพณีในพื้นที่ ที่ผู้หญิงมักไม่ค่อยได้รับโอกาสในการศึกษา และถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่อายุน้อยๆ รวมถึงปัญหาอมตะของสังคมไทยในทุกพื้นที่ของประเทศ คือสังคมนั้นให้อำนาจสามีทำร้ายร่างกายภรรยาได้ (ทั้งที่ปัจจุบันกฏหมายได้ห้ามแล้ว)
“ทำอย่างไร ทั้งผู้หญิงและเด็กที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว จะได้รับการคุ้มครอง ซึ่งอย่างแรก คือจะต้องไม่ยอมให้มีการอ้างแนวคิดอะไรทั้งสิ้น เพื่อที่จะให้ผู้หญิงต้องยอมทนกับสภาพความรุนแรง ดิฉันคิดว่าไม่มีศาสนาใดหรอกที่ยอมรับการทำร้ายกันในครอบครัว ตรงนี้ต้องมีการสื่อสารออกไปอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้หญิงที่ถูกกระทำ เข้าถึงสิทธิในการคุ้มครองและเยียวยา ซึ่งเรื่องนี้สำคัญพอๆ กับความปลอดภัยในที่สาธารณะ
ส่วนในระยะยาว ผู้นำศาสนาต้องเข้าใจว่า การอ้างหลักศาสนาเพื่อให้ผู้หญิงทนกับความรุนแรง เป็นการขัดต่อสิทธิมนุษยชน แต่ต้องนำหลักศาสนามาใช้เพื่อยุติการทำร้ายกัน ที่สำคัญคือจะต้องไม่อ้างว่าเห็นแก่ครอบครัว แล้วพอเจรจาจบ ผู้หญิงก็ต้องยอมกลับไปทนอยู่กับความรุนแรงต่อไป แต่นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก อาจจะยิ่งกว่าการเจรจาสันติภาพในความขัดแย้งที่ปะทะกันด้วยอาวุธเสียอีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นประเด็นท้าทาย ทั้งกับชุมชนมุสลิม และในพื้นที่อื่นๆ ด้วย” คุณอุษา กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันปัญหาไฟใต้ถูกกล่าวถึงในหลายมิติ ทั้งอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน การล้างแค้นจากความอยุติธรรมในการดำเนินการของภาครัฐกับประชาชนในพื้นที่ รวมไปถึงผลประโยชน์ในธุรกิจมืดทั้งค้าน้ำมันเถื่อนและยาเสพติด กลายเป็นปัญหาทับซ้อนที่ยังไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้ว่า ความรุนแรงรายวันเหล่านี้ จะยุติลงเมื่อใด
แต่การที่มีความพยายามจากในพื้นที่ เป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยความไม่เข้าใจกันของรัฐกับประชาชน ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดความตึงเครียดลงได้บ้าง..แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ก็ตาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี