หากนับเอาวันที่ 4 ม.ค. 2547 เป็นวันแรกที่ไฟแห่งความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกจุด จนถึงวันนี้ก็ใกล้จะครบ 10 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าไฟใต้จะถูกดับลง รวมถึงการเจรจาของรัฐบาลชุดปัจจุบัน กับกลุ่มบุคคลที่เชื่อว่าเป็นผู้นำขบวนการ BRN อันเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ถูกระบุว่าเป็นแกนหลักในการก่อความไม่สงบในพื้นที่ โดยล่าสุดจะมีการนัดเจรจารอบใหม่ ในวันที่ 13 มิ.ย.2556 นี้
ทว่าจากการเจรจาในรอบที่ผ่านมา ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวใช่แกนนำจริงหรือไม่? และปัจุจุบันยังมีอำนาจสั่งการ หรือได้รับความเชื่อถือจากแนวร่วมแค่ไหน?
วันนี้สกู๊ปหน้า 5 จะพาไปรับฟังความเห็นจากฝ่ายความมั่นคง และภาคประชาสังคม ว่าปัจจุบันสถานการณ์ในภาคใต้เป็นเช่นใด? รวมถึงรัฐบาลควรจะปรับนโยบายอย่างไรต่อไป?
สถานการณ์ที่ยากจะควบคุม
มีคำกล่าวหนึ่งในหมู่ผู้สนใจด้านจิตวิทยากับความมั่นคง ว่าด้วยการปลุกระดม สร้างชุดความคิด-ความเชื่อที่ทำให้เกิดความเกลียดชัง ในตอนแรกอาจจะเป็นการแสดงออกกันในกลุ่มเล็กๆ แต่เมื่อมันได้ถูกโหมกระพือจนมีผู้ที่เชื่อและทำตามเป็นจำนวนมากแล้ว การจะยุติลัทธิความเชื่อดังกล่าวย่อมเป็นไปได้ยาก แม้กระทั่งผู้เริ่มต้นเผยแพร่ชุดความคิดนั้นตั้งแต่แรกก็อาจจะไม่สามารถทำให้คนอื่นๆ เลิกเชื่อได้ เพราะความเชื่อได้ฝังหัวไปแล้ว ดุจไฟที่ตอนแรกเกิดจากไม้ขีดเพียงก้านเดียว แต่ต่อมากลายเป็นเปลวไฟขนาดใหญ่ลุกลามไปทั้งชุมชน จนยากจะมีใครดับได้
“เรามองเห็นความเป็นตัวตนของขบวนการ มีอุดมการณ์มีโครงสร้างค่อนข้างจะมองเห็นได้ และจุดมุ่งหมายในการก่อเหตุก็ค่อนข้างที่จะชัดมากขึ้น รัฐไทยเองก็ยอมรับว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อแบ่งแยกดินแดน จากที่เคยปฏิเสธมานาน เรียกโจรกระจอก เรียกนั่นเรียกนี่ ผู้ไม่หวังดีบ้าง อะไรต่างๆ นานา” เป็นเสียงจาก นายสุนัย ผาสุก ผู้แทนองค์กร Human Rights Watch ประจำประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ ที่วันนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีอยู่จริง
คุณสุนัย เล่าต่อไป ถึงรายงานของ Human Rights Watch เกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ถูกเผยแพร่เมื่อปี 2007 (พ.ศ.2550) ชื่อรายงานว่า “No one is safe” (ไม่มีใครที่อยู่ได้อย่างปลอดภัย) โดยเนื้อหาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับฝ่ายความมั่นคงในปัจจุบัน ว่าขบวนการ BRN เป็นเสมือนแกนหลักในการต่อสู้กับรัฐไทย เพื่อเป้าหมายแบ่งแยกดินแดน แต่ที่คุณสุนัยตลอดจนหลายฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์รู้สึกเป็นห่วง นั่นคือแนวทางการต่อสู้ของบางกลุ่มเริ่มจะมีลักษณะสุดโต่งไปเรื่อยๆ นั่นคือการเข่นฆ่าหรือขับไล่คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เชื้อชาติมลายู ซึ่งนั่นเป็นที่มาของการก่อเหตุกับเป้าหมายพลเรือนที่เพิ่มมากขึ้น
“สิ่งที่น่ากังวลมาก คือแนวคิดที่สุดโต่งมากขึ้นในการต่อสู้แบ่งแยกดินแดน คือแทนที่จะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐหรือกำลังทหาร กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชาติกับประชาชาติ อย่าง BRN เขาพูดตลอดว่าเขาเป็นตัวแทนประชาชาติบ้าง ปาตานีบ้าง ใช้คำใหญ่ๆ ทั้งนั้น เมื่อใช้คำใหญ่แบบนี้ คู่ต่อสู้ไม่ใช่รัฐ แต่เป็นประชาชาติไทยพุทธ
เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นคำอธิบายที่ BRN นำมาใช้สร้างความชอบธรรม ในการทำร้ายประชาชน Human Rights Watch ก็เรียกกองกำลังของ BRN ในหลายกรณี เช่นการทำร้ายพลเรือน ทำร้ายครู ทำร้ายเด็ก ทำร้ายเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เผาสถานพยาบาล ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม” ตัวแทนจาก Human Rights Watch กล่าว
สอดคล้องกับ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้มากว่า 8 ปี พบว่าพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว มีการแบ่งเขตการทำงานของฝ่ายขบวนการเป็นเขตย่อยๆ และแต่ละเขตมีการแบ่งออกเป็นฝ่ายมวลชน (ฝ่ายปกครอง) กับฝ่ายกองกำลังติดอาวุธ (ฝ่ายทหาร) ซึ่งมีการวางแผน ประเมินแผน และแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระบบ
“3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาแบ่งกัน 3 เขตใหญ่ คือปัตตานี ยะลา นราธิวาส ในแต่ละเขตใหญ่หรือเรียกว่ากัส และกัสของเขาก็จะแบ่งเป็นเขตย่อยเรียกว่าสะกอม แต่ละสะกอมหรือเขตย่อยก็จะมีคณะกรรมการบริหารของเขาเอง ในนี้ก็จะมีทั้งฝ่ายพลเรือน (ฝ่ายมวลชน) และมีฝ่ายทหารด้วย ทำงานควบคู่กันไป ในส่วนนี้คือเอานโยบายมากำหนดเป็นแผนการปฏิบัติ และใน 1 เดือนเขาจะมาปรับแก้ เอาปัญหาที่เขาปฏิบัติการมาปรับแก้เดือนละครั้ง ในแต่ละเขต ซึ่งทั้ง 3 จังหวัด เขาแบ่งเป็น 14 เขตด้วยกันในการบริหารงาน” พล.อ.สำเร็จ กล่าว
แนะใช้ “ศาสนา” สลายแนวร่วม
มีเรื่องเล่ามากมายถึงแนวร่วมที่กลายเป็นกองกำลังติดอาวุธ ว่าจะต้องมีพิธีกรรมสาบานตนตามหลักศาสนา ซึ่งก็เป็นที่ทราบดีว่าศาสนาดังกล่าวมีความศักดิ์สิทธิ์กับทุกขณะชีวิตของผู้ที่นับถือ ซึ่งเมื่อรวมกับประวัติศาสตร์แนวชาตินิยมจัด ก็ย่อมทำให้คนเหล่านี้ออกไปก่อเหตุได้อย่างไม่ลังเลใจ
พล.อ.สำเร็จ กล่าวถึงประสบการณ์ในการพบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงแนวร่วมขบวนการที่เข้ามารายงานตัวหรือถูกจับกุม พบว่าสำหรับชาวบ้าน หรือกองกำลังติดอาวุธระดับล่างแล้ว ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาเลือกทำ หรือหยุดทำสิ่งต่างๆ ได้ดีเท่าศาสนา
“ที่เราสู้กันอยู่ พวก RKK กับชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งเป็นสมาชิก กลุ่มนี้เป็นกลุ่มปฏิบัติการ พวกนี้ไม่รู้จัก BRN เคยถามว่าอยู่องค์กรไหน เขาบอกไม่รู้ งั้นถามว่าทำไมทำล่ะ? เขาบอกทำแล้วได้บุญ เงื่อนไขก็คือศาสนา ดังนั้นคุยกับคนกลุ่มล่าง ต้องคุยด้วยศาสนา คนที่สามารถคุยและเขารับฟัง คือคนที่รู้เรื่องศาสนา และเป็นคนมลายู ถ้าเป็นเชื้อชาติอื่นก็ไม่ฟังอีก คุณไม่รู้ประวัติศาสตร์ปาตานีแล้วมาพูดทำไม? เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันกับศาสนา
ผมยืนยันนะครับ หลายคนที่มามอบตัวหรือถูกจับ พอเอาศาสนาไปกล่อมเกลา 10 คน จะกลับไป (กลับไปร่วมขบวนการ) แค่คนหรือสองคนเท่านั้น ผมกล้ายืนยัน และที่กลับไปก็เพราะสภาพแวดล้อมจำเป็นต้องไป ถ้าไม่ไปเขาอยู่ยาก” ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าว
“รัฐ-สังคม” ต้อง “เป็นธรรม-อดทน”
แม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะยังคงเดินหน้าเจรจากับสมาชิกระดับบริหารของกลุ่ม BRN ที่ประเทศมาเลเซียต่อไป แต่หลายฝ่ายได้ให้ข้อเสนอแนะบางประการที่ควรทำควบคู่ไปด้วย เช่นการทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคุณสุนัยกล่าวว่า การใช้กฎหมายพิเศษเช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ทำให้เกิดการกวาดจับแบบเหวี่ยงแห และหลายรายถูกคุมขังโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีใดๆ หรือบางรายเคราะห์ร้าย ระหว่างถูกคุมขังยังถูกทรมานเพื่อให้รับสารภาพ
“หลายๆ กรณีที่รับรู้ทั่วไป ก็คือมีการออกหมายจับจำนวนหนึ่งผ่านกฎหมายพิเศษ โดยเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วร้ายแรงเกินความเป็นจริง ทั้งหมดนี้ต้องทบทวน ไม่ใช่แค่คนที่มานั่งเจรจาเท่านั้น แต่คนตัวเล็กตัวน้อยที่ได้รับผลกระทบ ต้องตอบโจทย์ตรงนี้ด้วย
อย่างกรณีมะรอโซ (มะรอโซ จันทรวดี) ที่พยายามจะบุกฐานนาวิกโยธิน ก็จากคนที่ไปตากใบ แล้วก็เห็นเพื่อนตายต่อหน้า ตัวเองก็อยู่บนรถบรรทุกด้วย ออกมาก็ถูกไล่ที่โดยรัฐ อยู่ไม่ได้เลย จากคนที่สนใจการแบ่งแยกดินแดนในเชิงอุดมการณ์ กลายเป็นสมาชิก RKK ระดับนำ แล้วก่อเหตุร้ายมากมาย..มะรอโซ จันทรวดี นี่ต้องใช้เป็นกรณีศึกษา” ตัวแทนจาก Human Rights Watch เสนอแนะ
ปิดท้ายด้วยความเห็นของ พ.อ.ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองศึกษาวิจัยทางยุทธศาสตร์ ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ กองบัญชาการกองทัพไทย ที่มองว่าผู้คนในยุคปัจจุบันมีค่านิยมสิ่งที่สำเร็จรูป กล่าวคือเมื่อมีการกระทำอะไรแล้วก็อยากจะเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำให้อาจจะไปกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ในการเจรจากันไม่ว่าเป็นเรื่องใดๆ หรือระหว่างกลุ่มใดๆ ก็ตาม ล้วนต้องใช้เวลา บางกรณีอาจต้องพูดคุยกันนับร้อยครั้งกว่าจะเห็นผล เพราะทุกคนย่อมพกเอาความต้องการ หรือเป้าหมายของตนมาเจรจาทั้งสิ้น เช่นหากฝ่ายขบวนการมีความต้องการระดับ 100 ฝ่ายรัฐก็ต้องการระดับ 100 เช่นกัน แบบนี้ก็ยังต้องพูดคุยกันต่อไป แต่ถ้าวันหนึ่งมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกว่าลดความต้องการของตนเหลือระดับ 90 ขณะที่อีกฝ่ายก็ยอมรับได้ในกรณีดังกล่าว การเจรจาจึงจะถือว่าเห็นผล และเดินหน้าต่อไป
“มันไม่จบง่ายๆ ต้องใช้เวลาและความอดทน เพียงแต่อยากให้สังคมให้ความสำคัญ ผมมองว่ารัฐสภาประกาศเป็นวาระแห่งชาติ มันก็เท่านั้นแหละ ถ้าคนในสังคมไม่รับรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เหตุการณ์ในภาคใต้มันรุนแรง แล้วบางเรื่องที่มันหวือหวาในความรู้สึก เป็นกระแสเป็นข่าว คนในกรุงเทพก็จะหวือหวาไปพักนึง หลังจากนั้นก็หายไป คือสังคมเห็นปัญหา แต่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา
ปัญหาคือวันนี้เรายังไม่รู้เลยว่า คนที่เหลือ (ในพื้นที่) ต้องการอะไร เขตปกครองพิเศษ? แบ่งแยกดินแดน? ก็คือคนที่เสียงดังพูด (เช่นนักวิชาการ แกนนำมวลชน หรือนักการเมือง) ผมคิดว่าถ้าไปถามชาวบ้าน เขาอาจคิดยังไม่ไกลไปถึงขั้นนั้น เขาอาจต้องการแค่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คำว่าคุณภาพชีวิตไม่ใช่ฐานะดีขึ้น แต่หมายถึงเขามีศักดิ์และสิทธิ์เป็นพลเมืองที่เขามีอัตลักษณ์ของเขา เขาได้อัตลักษณ์ในการดำรงอยู่ ตรงนั้นที่ผมคิดว่าคือคุณภาพชีวิต” พ.อ.ธีรนันท์ กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากปัญหาความไม่เป็นธรรมจากการจับกุมคุมขังด้วยกฎหมายพิเศษแล้ว ยังมีความเหลื่อมล้ำอีกหลายประการที่ต้องให้ความสนใจ ทั้งทุนการศึกษาที่รัฐบาลให้ประชาชนในพื้นที่ ก็ยังกระจุกอยู่กับลูกหลานชนชั้นนำ ไม่ค่อยมาถึงคนทั่วไปที่ยากจน ประเด็นวุฒิการศึกษาสายวิชาชีพ (เช่นแพทย์) จากประเทศแถบตะวันออกกลางที่คนในพื้นที่นิยมไปศึกษาต่อ ไม่ได้รับการรับรองจากทางการไทย หรือนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางคนที่หลายฝ่ายมองว่า เคยมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชน กลับได้ร่วมไปกับคณะเจรจาด้วย
ประเด็นเหล่านี้ ภาครัฐต้องให้ความสนใจและแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากต้องการให้ไฟได้ดับลงอย่างแท้จริง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี