ปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาชาติ หากถามว่าใครควรจะเป็นผู้แก้ปัญหา บางคนอาจตอบว่าโรงเรียนผ่านกลไกของครูและหลักสูตรการศึกษา บางคนอาจจะตอบว่าหน่วยงานยุติธรรม เช่นตำรวจ อัยการ ศาล ที่ต้องบังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวดจริงจัง บางคนอาจจะตอบว่ารัฐบาล ที่เป็นผู้กำกับนโยบายต่างๆ ของประเทศ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ตอบว่า “ครอบครัว” ซึ่งหมายถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองของเด็กเองที่จะต้องเป็นหน่วยหลักในการดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนจะรู้ว่าครอบครัวควรจะทำทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาของบุตรหลาน แต่กลับมีน้อยคนที่จะรู้ว่าควรเลี้ยงดูเด็กอย่างไรจึงจะมีคุณภาพ และยิ่งสภาวะสังคมกลายเป็นยุคแห่งการแข่งขัน เงื่อนไขต่างๆ กดดันให้ต้องทำทุกอย่างเพื่อชนะเท่านั้น ยิ่งทำให้ความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยที่เคยถูกยกย่องว่ามีน้ำใจและเป็นมิตร ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ คำถามคือ..หลายฝ่ายรู้ปัญหานี้มานานแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่เคยมีแผนในการแก้ไขอย่างจริงจัง วันนี้สกู๊ปหน้า 5 จะพาไปฟังเสียงสะท้อนจากผู้ที่ทำงานด้านครอบครัว ว่าพวกเขาพบเจออะไรกันบ้าง
ครอบครัวไทย : สถิติที่น่าเป็นห่วง
“ทำไมเราถึงทำเรื่องสถานการณ์ครอบครัว เหตุเพราะเราอยากรู้ว่าครอบครัวไทยทุกภาค มีสุขภาวะยังไงบ้าง? เราเก็บข้อมูล 4 พันตัวอย่างทั่วประเทศ ทำมาแล้ว 4 ปีเพื่อหาตัวสัมพันธ์ 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือสิ่งที่เรียกว่าหยุด 4 ครอบครัวต้องหยุด 4 เรื่องคืออบายมุข หนี้สิน ความรุนแรงและการนอกใจ อีกฝั่งคือสร้าง 4 ก็คือสื่อสารดี มีเวลาร่วมกัน แบ่งปันใส่ใจ และห่วงใยสุขภาพ”
เป็นการเปิดผลการศึกษาครอบครัวไทย ที่จัดทำโดย ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ นักวิจัยจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล อันเป็นการศึกษาปัจจัยที่ทำให้ครอบครัวราบรื่น 4 ประการ และล้มเหลว 4 ประการ ซึ่งก็มีทั้งส่วนที่เป็นข่าวดีและข่าวร้าย
อย่างในปี 2555 ส่วนของข่าวดี 4 สิ่งที่ครอบครัวควรทำ ประกอบด้วย 1.สื่อสารดี พบว่าแม้สังคมจะเปลี่ยนไปจากในอดีต แต่สมาชิกในครอบครัวยังมีการพูดคุย ปรึกษาหารือกันเสมอ พบว่าร้อยละ 34.3 ยังคงพูดคุยกันมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 39 ยังคงพูดคุยกันมาก
2.มีเวลาร่วมกัน พบว่าครอบครัวจำนวนมากยังมีเวลารับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หากแต่ข้อสังเกตที่พบ คือในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนใหญ่ร้อยละ 43.5 หมดไปกับการดูโทรทัศน์ รองลงมาร้อยละ 32.4 พูดคุยเรื่องสนุกสนาน มีเพียงร้อยละ 7.6 เท่านั้นที่พูดคุยถึงปัญหาและหาทางแก้ไข แต่ในภาพรวมยังถือว่าครอบครัวไทยส่วนใหญ่ยังมีเวลาอยู่ร่วมกันพอสมควร
3.แบ่งปันใส่ใจ การช่วยเหลือกันในครอบครัว เมื่อสมาชิกคนใดเกิดปัญหา อันเป็นลักษณะเด่นของสังคมไทยยังคงมีอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 31.8 ตอบว่าจริงมากที่สุด ขณะที่ร้อยละ 40.5 ตอบว่าจริงมาก และ 4.ห่วงใยสุขภาพ ในส่วนนี้พบว่าประชากรส่วนใหญ่ยังออกกำลังกายกันน้อยอยู่ โดยร้อยละ 33.4 ตอบว่าใช้เวลาออกกำลังกายปานกลาง ร้อยละ 27.7 ตอบว่าใช้เวลาออกกำลังกายมาก มีเพียงร้อยละ 18 ที่ระบุว่าออกกำลังกายมากที่สุด (สม่ำเสมอที่สุด)
แต่เมื่อมาดูในส่วนของข่าวร้าย ตลอดปี 2555 พบว่าพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของครอบครัวไทยยังสูงมากทั้ง 4 ประการ ประกอบด้วย 1.อบายมุข พบว่าครอบครัวไทย ร้อยละ 61 ยังดื่มสุรา ร้อยละ 53 ยังเล่นหวยใต้ดิน ร้อยละ 52 เสี่ยงโชคกับสลากกินแบ่งรัฐบาล และร้อยละ 31.9 เล่นการพนันอื่นๆ 2.หนี้สิน พบว่าปี 2555 แม้ส่วนใหญ่ร้อยละ 89.9 ระบุว่ามีรายได้เลี้ยงครอบครัว และร้อยละ 81.6 ระบุว่ามีเงินออก แต่ยังมีครอบครัวร้อยละ 60.9 ที่ระบุว่ามีหนี้สิน เท่ากับว่ามีรายได้มาก แต่เมื่อเทียบกับรายจ่ายแล้วอาจจะยังมากอยู่ด้วยเช่นกัน
3.ความรุนแรงในครอบครัว เฉลี่ยแล้วทุกภาคในปี 2555 สูงขึ้นเท่าตัวหรือมากกว่า เมื่อเทียบกับปี 2554 เช่นภาคกลาง ปี’54 อยู่ที่ร้อยละ 10.8 แต่ปี’55 เพิ่มเป็นร้อยละ 41.9 และสถิติที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษคือ 4.การนอกใจ เพราะในปี’54 มีเพียงร้อยละ 12.6 แต่ในปี’55 กลับพบว่าคู่รัก-คู่สมรสมีสถิติการนอกใจเพิ่มเป็นร้อยละ 28.3 ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในระยะเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น
“สังคมเหงา” เหตุ “ชู้-กิ๊ก” ระบาด
จากสถิติข้างต้น เชื่อว่าหลายคนคงจะสนใจเป็นพิเศษ ว่าเหตุใดปัญหาการนอกใจกันของคู่รัก-คู่สมรสจึงเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในเวลาไม่นาน ทั้งนี้นอกจากผลการศึกษาของ ม.มหิดลแล้ว ยังมีผลการสำรวจของบริษัทผลิตถุงยางอนามัยระดับโลกรายหนี่งเมื่อปี 2555 ที่ระบุว่าชายไทยนอกใจคู่ครองเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่หญิงไทยนอกใจคู่ครองเป็นอันดับ 2 ของโลก (หญิงจากกานาเป็นอันดับ 1) และการนอกใจนี้เองนำไปสู่ปัญหาการทำร้ายร่างกาย ฆาตกรรม หรือปัญหาการหย่าร้างในที่สุด ตามที่เป็นข่าวรายวัน
ซึ่งเรื่องดังกล่าว ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง ได้อธิบายว่าสังคมปัจจุบันเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก จากสังคมชนบทที่ผู้คนรู้จักกันดี กลายไปเป็นสังคมเมืองที่มีลักษณะ “ตัวใครตัวมัน” ที่ผู้คนมักทำอะไรตามใจตนเอง โดยไม่สนใจผลกระทบต่อคนรอบข้างหรือส่วนรวมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม
“ปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่เรามีการเรียนแบบไม่แยกชายหญิง ทั้งสองเพศก็เลยอยู่ใกล้ชิดกัน ผู้หญิงก็เริ่มไม่รู้สึกกลัวผู้ชายแบบสมัยก่อน เรียน ทำงาน เที่ยวด้วยกัน ทีนี้พอไปเที่ยว ไปกับผู้ชายแล้วมันสนุก รู้สึกอบอุ่น ผู้ชายจ่าย ผู้ชายเลี้ยง ก็หวั่นไหว อย่างที่เรียกรักแท้แพ้ใกล้ชิด อีกเรื่องคือการดื่มสุรา ซึ่งพวกเหล้า ไวน์ พวกนี้ทำให้รู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ก็กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เราไม่ค่อยรู้เรื่องนี้กันเท่าไร ก็ดื่มกันไป เกิดอารมณ์ แล้วก็จบที่เพศสัมพันธ์
รวมไปถึงทุกวันนี้มันเป็นสังคมเหงา สังคมตัวใครตัวมัน อย่างที่เขาพูดกันว่า ยามทุกข์ก็ทุกข์คนเดียว ไม่มีใครมาทุกข์ด้วย แล้วจะแคร์คนอื่นทำไม หาความสุขได้ก็หาไปเถอะ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสนใจใคร บางคนรู้ว่าผู้ชายมีครอบครัวแล้ว แต่เขาดีกับเรา ก็เลยขาดเขาไม่ได้ก็มี หรือถ้าผู้ชายมีเด็กสาวเอ๊าะๆ ได้ ผู้หญิงก็หาคบเด็กหนุ่มอายุน้อยๆ ได้เช่นกัน มันกลายเป็นการอวดประชันในเรื่องเพศ และสมัยนี้ยาคุม หรือถุงยางอนามัยก็มีให้ใช้มากมาย ซึ่งผู้หญิงกลัวเพียงท้องกับติดโรคเท่านั้น”
ดร.วัลลภ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมกับเสริมว่า คนไทยจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่าประเทศในโลกตะวันตกก็ดี ญี่ปุ่นก็ดีมีค่านิยมเพศสัมพันธ์แบบเสรีอย่างที่เห็นในภาพยนตร์ ทั้งที่ในความเป็นจริงเป็นตรงกันข้าม โดยเฉพาะญี่ปุ่นนั้นมีอัตราการเกิดของเด็ก หรือการอยู่ด้วยกันของคู่สมรสน้อยมาก เพราะเพศชายต้องทำงานหนัก และเคร่งเครียดตลอดวันเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
ในตอนแรกนี้ เราพูดถึงสถิติที่น่าเป็นห่วงแบบภาพรวมไปแล้ว ในตอนต่อไป เราจะเจาะลึกเรื่องของการเลี้ยงลูกว่า ที่ผ่านมาพ่อแม่ไทย ตลอดจนระบบการศึกษาทำอะไรผิดไปบ้าง และทิศทางควรจะทำอย่างไรต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี