ช่วงนี้สถานการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมืองมีอยู่ไม่น้อยไหนจะเรื่องจำนำข้าว ไหนจะเรื่องการชุมนุมของฝ่ายต่างๆ ทำให้หวนคิดไปถึงกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่าดง พงไพร ไม่เห็นจะต้องมาเดือดร้อน วุ่นวายกับสังคมเมืองอย่างเราเลย สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐทำให้ซาไกต้องเปลี่ยนแปลงไป ก่อนที่จะเดินทางไปเยี่ยมเยือนชนเผ่าซาไก ที่พัทลุง เรามาเรียนรู้เขาให้มากขึ้นกันก่อนนะครับ
ผู้เขียนได้อ่านงานวิจัยคุณภาพและได้รับรางวัลในการทำวิจัยมาแล้ว ของอาจารย์สุนิตดา ชูสวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เรื่อง “ซาไก : การสร้างความเป็นอื่นในบริบทการพัฒนาของรัฐไทย” ที่ศึกษาแนวทางมานุษยวิทยา(Anthropology Approach) ซาไกเป็นมนุษย์ในชาติพันธุ์เนกริโต (Negrito) ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ย่อยของเนกรอยด์ (Nagroids) มีรูปพรรณสัณฐานไม่สูงใหญ่ เส้นผมดำหยิกขมวดกลมหรือผมฟู ขนตายาวงอน จมูกแบนกว้าง ริมฝีปากหนา
ซาไกมักเรียกตัวเองว่า “มันนิ”หมายถึง คน แต่คนอื่นจะเรียกว่า เงาะ เงาะป่า ซาแก และโอรัง อัสลี (Orang Asli) เป็นภาษาอินโดนีเซียนักมานุษยวิทยาจะเรียกเขาว่า ซาไก หรือมันนิ มีภาษาพูดเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีอักษร โดยทั่วไปแล้วซาไกยังมีวิถีชีวิตแบบมนุษย์ ในยุคอนารยชน ที่ตกค้างและเหลืออยู่ในโลกปัจจุบัน เป็นกลุ่มคนป่าล้าหลัง ไม่รู้จักเพาะเลี้ยง อาศัยเพิงใบไม้หรือทับ เป็นที่พักพิง เร่ร่อนอยู่ตามป่าเขา มีศิลปการยังชีพด้วยการล่าสัตว์ และการหาของป่า อาหารเป็นพวกหัวมัน เผือก สัตว์ประเภทกบ ปลา เต่า ลิง ค่าง ความก้าวหน้าในการดำรงชีวิตมีเพียงการรู้จักใช้ไฟในการหุงต้ม และให้ความอบอุ่นร่างกาย และลูกดอกในการล่าสัตว์ มีอาวุธเรียกว่ากระบอกตุด มีบางกลุ่มเท่านั้นที่รู้จักสร้างบ้าน
มีหลักฐานทางโบราณคดีว่าซาไกเป็นคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของไทยตั้งแต่ยุคหินกลาง ประมาณ 1,500-10,000 ปีมาแล้ว ปัจจุบันในภาคใต้มีซาไกประมาณ 200-250 คน อยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5-10 คน หรือ 20-25 คน ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ตามป่าเขาบริเวณเทือกเขาบรรทัด จังหวัดสตูล ตรัง พัทลุง และเทือกเขาสันกาลาคีรี จังหวัดยะลา นราธิวาส
เมื่อรัฐไทย โดยคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีการวางแผนพัฒนาประเทศไทย จากนโยบายต่างๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข การยกระดับคุณภาพชีวิต เช่น การมีระบบสาธารณูปโภค ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โดยมีแผนพัฒนาฉบับที่ 1-10 ถึงแม้ฉบับที่ 8-10 จะมุ่งเน้นพัฒนา “คน” ก็ตาม แต่คนบางกลุ่มก็ยังถูกกีดกันออกจากพื้นที่ของการพัฒนานั่นคือความไม่เท่าเทียมกันของพลเมืองในประเทศ ซาไกถูกมองจากคนในสังคมว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตไม่เหมือนกับคนทั่วไป
ซาไกถูกมองเป็นคนอื่น คือการถูกทำให้เป็นคนอื่นโดยคนอื่น และการถูกทำให้คนอื่นเป็นอื่น หรือเป็นคนชายขอบของการพัฒนา (ชายขอบหมายถึงประชากรพวกหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าไม่เป็นที่ต้องการของระบบเศรษฐกิจ อยู่นอกสายตาและทัศนวิสัยของสังคมหรืออาจเป็นส่วนเกินอะไรทำนองนั้น)แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-7มุ่งเน้นทางด้านความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้านวัตถุ จากปรากฏการณ์ “โง่ จนเจ็บ” ในแผนพัฒนาฉบับที่ 1 แปลง่ายๆ“โง่” ก็คือนำระบบการศึกษามาให้เรียนรู้ให้ทันโลก“จน”การพัฒนาส่งเสริมอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ “เจ็บ” ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน มีสาธารณสุข มีความอยู่ดีกินดี
จากนั้นรัฐก็เห็นแนวทางนำไปสู่ “งานคือเงินเงินคืองาน บันดาลสุข” ถ้าอยากมีเงินก็ต้องทำงาน วิธีการของรัฐก็คือให้ประชาชนหันมาลงทุนสร้างรายได้จากทรัพยากรที่มีอยู่ เมื่อประสบผลสำเร็จรัฐก็เริ่มใช้วิธีการเชิงรุก โดยมีนโยบาย “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ” คือมีศูนย์กลางความเจริญให้มีการพัฒนาเท่าเทียมกับสังคมเมืองโดยมุ่งเป้าไปที่แหล่งชนบท และซาไกก็เป็นหนึ่งในเป้าหมาย
เมื่อ พ.ศ. 2432 หรือ 124 ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองพัทลุง ได้ทรงเห็นรูปพรรณสัณฐานของเงาะป่าทรงให้ส่งลูกเงาะป่าไปเลี้ยงในวังหลวงจึงเป็นที่มาของเงาะป่านามว่า“คนัง” ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับใช้เบื้องพระยุคลบาทแห่งสมเด็จพระปิยมหาราช อยู่ได้ 5 ปี เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23ตุลาคม 2453 คนัง ก็ถึงคราวตกอับ ดวงตกหมดวาสนา กลายเป็นคนเสเพลเที่ยวเตร่เถลไถล ออกจากวังคบค้ากับอิสตรีไม่เลือกหน้าในที่สุดก็ถึงแก่กรรมด้วยกามโรคด้วยวัยหนุ่ม
อธิบายความได้ว่า คนัง ถึงแม้จะมีชีวิตสุขสบายอยู่ในวัง แต่หลงลืมไปว่าตนนั้นมีเชื้อชาติพันธุ์ ที่มีประวัติศาสตร์ทำให้ถูกมองเป็น “คนอื่น” ดังนั้นการพัฒนาของรัฐไทย ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง อัตลักษณ์ และการสร้างความเป็นอื่นให้กับซาไก หลายประการ เช่น
1.การสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานทำให้ซาไก ออกจากป่ามาอาศัยอยู่ชุมชน มารับจ้างกรีดยาง มารับจ้างเฝ้ารีสอร์ท
2.ป่าไม้ถูกทำลาย พืชพันธุ์และสัตว์ป่าบางชนิดหายไปจึงต้องนำพืชผักจากป่ามาแลกเงินหรืออาหาร
3.รัฐมองว่าซาไกต้องได้รับการพัฒนา ต้องเรียนหนังสือ แต่ซาไกกลับถูกตอกย้ำความเป็นอื่นแสดงความเป็นคนชายขอบ
4.การพัฒนาการท่องเที่ยว ส่งผลให้ซาไกเป็นสินค้า นำมาโชว์ตัว นำมาแสดง
5.ซาไกรับความทันสมัย มีโทรทัศน์ มีมอเตอร์ไซค์ มีโทรศัพท์มือถือ
อย่างไรก็ตาม ซาไกบางกลุ่มยังคงรากเหง้าไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังเช่น กลุ่มนามสกุลศรีตะโหมด ที่ผู้เขียนไปเยี่ยมเยือนมาเมื่อเร็วๆ นี้ ยังคงนอนเพิงใบไม้ หรือทับ อยู่ ยังหาหัวมันหัวเผือก ล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อาหารกระป๋องขนมขบเขี้ยวที่นักท่องเที่ยวนำไปให้ หากท่านใดอยากจะหลบหนีความวุ่นวายสักพักหนึ่งก็ขอเชิญชวนไปเดิน
ป่าสัก 2-3 ชั่วโมง ตามหาซาไก ที่อำเภอตะโหมดจังหวัดพัทลุง ที่ยังคงหลงเหลือความเป็นคนชายขอบของซาไกกันนะครับ
อาจารย์นุกูล ชิ้นฟัก
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี