ถึงวันนี้..คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักอาเซียน โดยเฉพาะประชาคมด้านเศรษฐกิจอย่าง AEC ที่ถูกประโคมจากสื่อต่างๆ เรียกว่าเป็นกระแสมาแรงมากในปัจจุบัน ดังที่เรานำเสนอไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ถึงความพยายามทั้งของสถาบันการศึกษาบ้าง ภาคธุรกิจบ้าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบ้าง ต่างเร่งให้ความรู้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม..หากดูตามสภาพความเป็นจริง พบว่าความตื่นตัวของคนไทย ต่อประชาคมอาเซียนนั้นยังถือว่าน้อยมาก จนหลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าหากถึงปี 2015 (พ.ศ.2558) คนไทยจะมีศักยภาพแค่ไหนในการแข่งขันกับนานาชาติ ทั้งด้านภาษาที่ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ จีน หรือภาษาอาเซียนที่ด้อยกว่าหลายๆ ชาติ ซ้ำร้ายเมื่อไปถามไถ่กันจริงๆ แล้ว หลายคนยังมองว่าอาเซียนเป็นเรื่องไกลตัว เรียกว่าฟังและรู้แค่ผ่านๆ แต่ไม่ใส่ใจเพราะคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับตน วันนี้ “สกู๊ปแนวหน้า” จะพาไปฟังทรรศนะของนักวิชาการด้านการต่างประเทศท่านหนึ่ง ที่มีมุมมองอันแตกต่างออกไป
จุดเริ่มต้นที่แตกต่าง
เมื่อพูดถึงประชาคมอาเซียน ก็ต้องพูดถึงประชาคมที่เป็นทั้งต้นแบบ และเป็นความใฝ่ฝันของหลายๆ คนในภูมิภาคนี้ที่จะไปให้ถึงอย่าง “สหภาพยุโรป” (EU) ทั้งนี้จุดเด่นประการหนึ่งของกลุ่ม EU คือชาติที่จะเข้าร่วมหรือออกจากประชาคม ประชาชนในชาตินั้นๆ จะมีส่วนร่วมเสมอ ผ่านการลงประชามติ (เช่นอังกฤษที่วันนี้ผู้คนกำลังถกเถียงกันว่าจะยังคงอยู่ใน EU ต่อไปดีหรือไม่?) ขณะที่อาเซียนนั้น ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประชาคมเมื่อปี 1967 (พ.ศ.2510) ประชาชนแทบไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
“ก่อนหน้านี้ ในการประชุม ASEAN Summit (ประชุมระดับผู้นำของชาติในอาเซียน) ที่ผ่านๆ มา จะพูดถึงแต่เริ่องเศรษฐกิจซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง ในปี 1992 (พ.ศ.2535) ที่มีการประชุมที่สิงคโปร์ ท่านนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ของไทย เสนอขึ้นมาให้จัดตั้ง AFTA ก็คือเขตการค้าเสรีอาเซียน
จากนั้นปี 1997 (พ.ศ.2540) ก็มีการคุยกันว่าน่าจะเชื่อมโยงกันให้มากกว่านี้ มากกว่าเรื่องการค้า เพราะการค้าพูดกันบนโต๊ะ เราอยู่ในไทย รู้ไหมว่ามีองค์กรความร่วมมืออันนี้?..ไม่รู้เลย ลองย้อนไปปี 1997 วันนั้นเราทำอะไรกันอยู่ หรือลองถามตัวเอง ว่าเรารู้จักอาเซียนกันเมื่อไร?”
เสียงสะท้อนจาก เสาวภา งามประมวญ อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เล่าถึงการรวมตัวของประชาคมอาเซียน ว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แทบจะไม่รู้เลยว่าที่ผ่านมา ทั้ง 10 ชาติสมาชิกเคยมีข้อตกลงความร่วมมือกันมาก่อนแล้ว แต่เพิ่งจะมารู้กันเมื่อไม่กี่ปีนี้เองเท่านั้น ผ่านสื่อต่างๆ เช่นโฆษณาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนอาหารประจำชาติ หรือใบขับขี่รุ่นใหม่ (Smart Card) ที่สามารถใช้ได้ทั่วอาเซียน เป็นต้น
ประเด็นต่อมา ไม่เพียงแต่จุดกำเนิดที่ต่างกันเท่านั้น แม้นโยบายต่างๆ ก็ยังไม่มีอะไรเหมือนกับสหภาพยุโรป กล่าวคือ แม้กระทั่งวิชาชีพพิเศษทั้งหลายที่ว่ากันว่าจะเปิดเสรี แต่เอาเข้าจริงๆ นอกจากลงนามกันในเวทีกลางของอาเซียนแล้ว ยังต้องไปทำข้อตกลงกันเองเป็นคู่ๆ ระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันอีกทางหนึ่ง ขณะที่สหภาพยุโรปนั้นไปไกลขนาดองค์กรภูมิภาคมีอิทธิพลเหนือรัฐชาติแล้ว
“มันเกิดความยุ่งยากอันนึง นอกจากเซ็นต์ใบกลางที่เป็นของอาเซียนไปแล้ว ยังไม่มีผลบังคับนะคะ จะต้องไปเซ็นต์ในส่วนของ bilateral (ทวิภาคี) ระหว่างคู่ประเทศอีก เช่นไทยไปเซ็นต์กับมาเลเซีย ไปเซ็นต์กับสิงคโปร์ ฉะนั้นข้อเสียของอาเซียน การทำงานมันไม่ Pratical คือมันไม่เป็นไปตามจริง” อ.เสาวภา กล่าวถึงความซ้ำซ้อนในระบบงานของอาเซียน
วอนคนไทยอย่าตื่นตระหนก
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อสื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนจนเริ่มเป็นกระแสสังคม พบว่ามีความรู้สึกวิตกกังวลเกิดขึ้นในหมู่ชาวไทย ว่าจะมีการไหลทะลักของแรงงานข้ามชาติ ทั้งพม่า ลาว และกัมพูชาเข้ามาอย่างเสรี ซึ่ง อ.เสาวภา กล่าวว่าไม่ต้องเป็นห่วงในประเด็นนี้ เพราะการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างถูกกฎหมาย ยังคงมีเพียงวิชาชีพพิเศษเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากจะเป็นห่วง คงเป็นเรื่องของแรงงานผิดกฎหมายมากกว่า เพราะในกลุ่มอาเซียน ยังถูกจับตามองจากประชาคมโลกว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาค้ามนุษย์ เช่นแรงงานประมง เป็นต้น
“ตอนนี้คนไทยกำลังตื่นตระหนก ไม่ว่าไปพูดที่ไหน คนจะถามว่า..อ้าว! แล้วเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี 2015 จะมีคนต่างชาติเข้ามาเกาะรั้วไหม? พอเปิดประตูปุ๊บ คนงานกัมพูชาจะวิ่งทะลักเข้ามาไหม? อันนี้คนที่ทำงานภาคประชาชน หรือข้าราชการท้องถิ่น ต้องให้ความรู้กับประชาชนแล้วว่า ไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะอาชีพที่สามารถเข้ามาทำงานในประเทศสมาชิก มีแค่ 8 อาชีพเท่านั้น”
อ.เสาวภา ฝากเตือนไปยังประชาชนและคนทำงานภาคท้องถิ่น นอกจากนี้ยังขอแก้ไขข้อมูลที่คลาดเคลื่อนบางประการเกี่ยวกับอาเซียน เช่นวิชาชีพพิเศษที่อาเซียนรับรอง จากเดิมที่มี 7 อาชีพ (แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก ช่างสำรวจ นักบัญชี) ล่าสุดได้เพิ่มเป็น 8 อาชีพแล้ว โดยเพิ่ม “ท่องเที่ยวและบริการ” ขึ้นมาอีกสายวิชาชีพหนึ่ง
เริ่มต้นด้วย “สังคม-วัฒนธรรม”
อย่างที่กล่าวไปแล้วตอนต้น ว่าอาเซียนเดินไปด้วยแรงผลักดันทางการค้า-การลงทุนเป็นสำคัญ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ากลุ่มทุนต่างๆ มีอิทธิพลมากในการขับเคลื่อนการรวมตัวครั้งนี้ แต่อีกด้านหนึ่ง ภาคประชาชนยังไม่ค่อยตื่นตัว หรือตระหนักถึงศักยภาพของตนเท่าที่ควร ทั้งนี้จะเห็นว่า..ด้านสังคมและวัฒนธรรม (ASCC) เป็นด้านที่ถูกให้ความสนใจน้อยที่สุดใน 3 ด้านของประชาคมอาเซียน
นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรายนี้ เน้นย้ำถึงความสำคัญของด้านดังกล่าว ที่มี “ทรัพยากรมนุษย์” เป็นตัวจักรสำคัญ โดยเฉพาะผู้คนในจังหวัดตามแนวชายแดน ที่ไม่ว่าจะมีการรวมตัวเป็นอาเซียนหรือไม่ คนเหล่านี้ก็ทำมาค้าขายกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วมาช้านาน เพราะในความคิดของชาวบ้านทั่วไป ไม่มีคำว่าพรมแดน (Border) อย่างแผนที่ทางการได้ขีดเส้นไว้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด นอกจากภาษาไทยแล้ว ชาวบ้านตามพรมแดนยังสามารถใช้ภาษาของประเทศที่ติดกันได้ด้วย
เช่นคนในภาคอีสานตอนบนมักจะเข้าใจภาษาลาว ภาคอีสานตอนล่างคุ้นเคยกับภาษาเขมร ภาคเหนือและภาคตะวันตกอาจจะฟังภาษาพม่าได้ หรือคนในจังหวัดทางภาคใต้ตอนล่าง สามารถสื่อสารด้วยภาษามลายู ที่ใช้กันในมาเลเซียกับอินโดนีเซีย ซึ่งภาครัฐน่าจะส่งเสริมคนเหล่านี้เป็นกลุ่มแรกๆ ก่อนจะแพร่ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่ลึกเข้ามาสู่ใจกลางเมือง ในลำดับถัดไป
“สิ่งที่อยากฝากให้ขบคิด ก็คือเรื่องการสนับสนุนตรงชายแดนนี่แหละ เพราะมันสำคัญมากในการที่จะเชื่อมประชาชนเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะเข้ามาสู่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพ หรือแม้แต่กระจายไปยังภาคต่างๆ เห็นไหม? ชาวนาอีสานพูดภาษาลาวได้ ขณะเดียวกันชาวนาที่อยู่ติดกัมพูชา มีความสนใจภาษาเขมร เพราะใกล้ชิดติดกัน เราก็ใช้คนตรงนี้เชื่อมมายังภาคกลาง หรือภาคใต้ ภาษามาเลย์กับอินโดจะคล้ายๆ กัน พอฟังกันรู้เรื่อง ฉะนั้นการเชื่อมของคน ของภาษา ของวัฒนธรรม จึงมีความสำคัญมาก สำคัญว่า AEC หรือนโยบายที่ออกมาในลักษณะของตัวเลขอีก”
อ.เสาวภา ฝากข้อคิดทิ้งท้าย และเสริมว่าภาครัฐควรสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ให้ไปถึงทุกที่ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อันจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพของตนเองได้
ประชาคมอาเซียน..จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เพราะจะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน แต่หากมองให้ออก แท้ที่จริงแล้วอาจไม่ยากที่คนไทยจะรับมือ ทั้งนี้มีผู้กล่าวว่า ไทยเป็นชนชาติที่มีวัฒนธรรมยืดหยุ่น สามารถปรับตัวและเข้ากับวัฒนธรรมอื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน ยิ่งถ้าเป็นวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันอย่างในอาเซียนแล้วยิ่งทำความคุ้นเคยได้ง่าย
ดังนั้นแทนที่จะกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ลองเปลี่ยนมุมมองมาส่งเสริมด้านสังคมและวัฒนธรรมก่อน น่าจะดีกว่าหรือไม่
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี