“เรียน ม.4 วิทย์-คณิตนะลูก จะได้เป็นหมอ เป็นวิศวกร จบมางานสบายเงินดีนะลูก”
“มีแต่เด็กเรียนอ่อน เรียนอะไรไม่ได้นั่นแหละถึงไปเรียนสายอาชีพ”
เชื่อว่าหลายท่านคงได้ยินประโยคทำนองนี้มาบ้าง หากไม่ได้ถูกสอนกับตัวเองเมื่อครั้งเป็นเด็ก ก็ต้องเคยได้ยินพ่อแม่ผู้ปกครองคนอื่นๆ สอนลูกหลานของพวกเขา เกี่ยวกับการเปรียบเทียบอนาคตทางการศึกษาในประเทศไทย ที่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า หากเด็กคนใดสามารถเข้าสู่สายสามัญ หรือระดับมัธยมปลาย (ม.4-ม.6) โดยเฉพาะแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ย่อมการันตีถึงอนาคตในการเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งนั่นหมายถึงอาชีพและรายได้ที่มั่งคั่งมั่นคง
ในทางกลับกัน เด็กที่เข้าสายสามัญ แผนการเรียนทางศิลป์ จะถูกมองเป็นพลเมืองชั้นรอง ทว่าสิ่งที่น่าหดหู่ที่สุด คือเด็กที่ไม่อาจเข้าสู่รั้วมัธยมปลาย แต่กระจัดกระจายไปเรียนอยู่ในสถาบันสายอาชีวศึกษา (สายวิชาชีพ) มักจะถูกมองเป็นประชากรชั้นสาม ด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองยังคงพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้ลูกหลานของตนเข้าเรียน ม.ปลาย ให้ได้ ทั้งที่เด็กอาจจะไม่ชอบและไม่ถนัด เข้าตำรา “เรียนไปก็ไม่มีความสุข จบมาความรู้ก็น้อยแข่งขันไม่ได้” คำถามคือ..หนทางแห่งความสำเร็จ มีได้แค่ทางเดียวจริงๆ หรือ?
ค่านิยมที่ฝังรากลึก
“ดิฉันเป็นอาจารย์แนะแนว คลุกคลีกับเด็กมัธยม 3 ชั้น 3 ปี มีความรู้สึกว่าพบปัญหาเรื่องของการพาเด็กเข้าสู่อาชีวะ ปัญหาที่ 1 ก็คือทั้งเด็กและผู้ปกครอง ขาดความไว้วางใจในการดูแลเด็กในระบบอาชีวะ ปัญหาที่ 2 ทั้งเด็กและผู้ปกครอง ขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพของอาชีวะ ปัญหาที่ 3 เด็กขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง ปัญหาที่ 4 ทั้งเด็กและผู้ปกครอง ขาดความมั่นใจว่า เขาจะเข้าระบบอุดมศึกษาได้อย่างไร”
เสียงจาก นางวิภา เกตุเทพา อาจารย์ฝ่ายแนะแนว โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ชี้ให้เห็นถึงปัญหาค่านิยมหลายประการ ที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่กล้าส่งลูกหลานเข้าสู่ภาคอาชีวศึกษา เช่น 1.มองว่าลูกหลานของตนจะไม่ปลอดภัยตลอดเวลาที่ไปเรียนสายอาชีพ เมื่อเทียบกับชีวิต ม.ปลาย ในรั้วสายสามัญ 2.มองว่าจบสายอาชีพมาแล้วไม่มีที่ยืนในสังคม เป็นเพียงแรงงานระดับล่างเท่านั้น
3.แม้แต่เด็กที่ต้องหลุดจากสายสามัญไปสายอาชีพ ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงขนาดที่วันนัดพบศิษย์เก่า เด็กกลุ่มนี้จะไม่กล้ากลับมาเยี่ยมโรงเรียน เพราะกลัวถูกมองเป็นประชากรชั้นล่าง เป็นชนชั้นที่ต่ำต้อยกว่าผู้ที่ได้เรียน ม.ปลาย และ 4.ขาดความรู้ ความเข้าใจในข้อมูลที่ถูกต้อง และคิดว่าเด็กสายอาชีพจบแล้วไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้เหมือนเด็กสายสามัญ จึงดูเหมือนว่าสายอาชีพนั้นไร้อนาคต
“บดินทร์โมเดลที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ผู้ปกครองไม่ยอมที่ลูกไม่ได้เรียนสายสามัญ จึงเกิดการประกาศทั้งประเทศว่า เด็ก ม.3 เกรด 2.00 อยากเรียนสายสามัญ โรงเรียนต้องจัดให้เรียน เพราะฉะนั้นทุกคนก็แห่เข้าสามัญโรงเรียนเดิมของตัวเอง ไม่ได้ก็ฟ้องร้อง แล้วผลกระทบก็ไปยังโรงเรียนอาชีวะ ไม่มีเด็กไปเรียน
เวลาอยู่หน้าห้องแนะแนว เวลาแนะแนวเด็ก พูดไปกลืนน้ำลายตัวเองไป ผู้ปกครองบางคนเขาพูดว่า..ถ้าเป็นลูกอาจารย์ อาจารย์ให้ไปไหมล่ะ? ไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้เลยนะคะ” อ.วิภา กล่าวระบายความรู้สึกในใจ
คุณ “รู้จักตัวเอง” จริงๆ หรือเปล่า?
ปัจจุบัน คำถามหนึ่งที่มักถูกพูดถึงกันบ่อยๆ ตลอดชีวิตในวัยทำงานของมนุษย์ คือคำถามที่ว่า “คุณมีความสุขกับงานที่ทำหรือไม่?” ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตอบว่าไม่แน่ใจ หลายคนอาจจะตอบว่าไม่มีความสุขแต่ต้องทำเพราะเรื่องของรายได้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้สึกพอใจ และมีความสุขกับงานที่ทำ จนกล้าพูดได้เต็มปากว่ารู้สึกอยากตื่นมาทำงานจริงๆ ในทุกๆ วัน
นายรวิศุทธิ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองประธานเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานคร ในฐานะตัวแทนเยาวชนไทย สะท้อนให้เห็นปัญหาหนึ่งของระบบการศึกษาไทย นั่นคือเด็กไทยหมดเวลาในชีวิต โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นไปกับชั่วโมงเรียน ทั้งในโรงเรียนและสถาบันกวดวิชานอกเวลาเรียน ด้วยความหวังหนึ่งเดียวคือการเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ จนไม่มีเวลารู้จักชีวิตด้านอื่นๆ ซึ่งหมายถึงการไม่มีเวลาทำความเข้าใจ “ตัวตนที่แท้จริง” ของตนเองด้วยว่าชอบหรือถนัดอะไร และนั่นหมายถึงความสุขความทุกข์ ตลอดช่วงเวลาของการทำงานทั้งชีวิต
“การศึกษาในเมืองไทย ขอพูดในสายสามัญ ผมมองว่าเด็กไทยเรียนมากเกินไป เด็กไทยต้องเรียนทั้งหมด 1,200 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมันเกินมาตรฐานโลกที่จำกัดแค่ 800 ชั่วโมงต่อปี ทำให้เด็กไม่มีเวลาที่จะค้นพบตัวเอง แต่เด็กไทยถูกผูกกับความฝันไว้ว่า อนาคตฉันจะต้องเข้ามหาลัยดังๆ ไม่ใช่ความฝันว่าตัวเองจะต้องประกอบอาชีพที่ตัวเองรัก และภาคภูมิใจกับอาชีพนั้น
ทำให้เด็กไทยวันนี้ กลายเป็นจันทร์ถึงศุกร์เรียนตั้งแต่เช้ายันเย็น และเสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษเพิ่มเติมอีก แล้วผมมองว่าเด็กไทยเรียนหนักมากเกินไป ไม่มีเวลาค้นพบตัวเอง ทำให้เขาไม่ทราบว่าตัวเองชอบอะไร สนใจอะไร และอยากทำอาชีพอะไร สุดท้ายพอเด็กไม่รู้ ผู้ปกครองก็ต้องการให้เด็กทำอาชีพที่มีความต้องการสูง เช่นหมอหรือวิศวะ ซึ่งมันก็มีความต้องการอยู่ในระดับพอสมควร แต่ความต้องการของเด็กหรือผู้ปกครองที่อยากให้เด็กเรียนสูงขึ้นไปอีก ทำให้เด็กจบมาไม่มีงานทำเยอะแยะเลยครับ”
นักเรียนจาก รร.สตรีวิทยา 2 รายนี้ กล่าวถึงปัญหาที่เด็กไทยต้องเผชิญในระบบการศึกษา ส่งผลให้เด็กจำนวนมากเรียนไปอย่างไม่มีแรงบันดาลใจ และแรงบันดาลใจนี่เองเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่อาจทำให้คนๆ หนึ่งสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต หรือค้นพบนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะเมื่อมีแรงบันดาลใจ มีความชอบ ความสุขที่ได้เรียนหรือได้ทำงานที่ตนเองรัก ก็จะรู้สึกอยากค้นคว้า ต่อยอด หรือพัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายท้อแท้
“เด็กไทยเนี่ย ถ้าสนใจอะไรแล้วจะมีความฝักใฝ่ในสิ่งนั้น และมีความตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ญี่ปุ่นเขาอาจจะมีความสามารถทางเทคโนโลยี แต่ในเรื่องของหุ่นยนต์เนี่ย เด็กไทยเป็นอันดับ 1 นะครับ เด็กไทยกระตือรือร้นเมื่อไร จะมีความตั้งใจทำตรงนั้นเต็มที่อย่างแน่นอน” ตัวแทนเยาวชน กล่าวทิ้งท้าย
ในตอนแรก เราได้สะท้อนปัญหาค่านิยมของผู้ปกครองและสังคม อย่างไรก็ตามตัวระบบการศึกษา โดยเฉพาะสายอาชีพเองก็มีปัญหาไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งในตอนหน้า เราจะมาฟังข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา เพื่อหวังว่าในอนาคตทั้ง 2 สาย ไม่ว่าจะอาชีวศึกษาหรือสายสามัญ จะสามารถเดินไปได้อย่างมีคุณภาพ ตลอดจนมีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี