กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ เมื่อเครือข่ายต้านเขื่อนแม่วงก์ นำโดย นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เดินเท้าเป็นเวลา 13 วัน จาก จ.นครสวรรค์ ถึงกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางการให้กำลังใจของประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมถึงดาราดังหลายราย ต่างแสดงความคิดเห็นผ่านโลกไซเบอร์ สนับสนุนกระแส “NO DAM” อย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกัน ระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนี้ รัฐบาลเตรียมเดินสายพบประชาชน ในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากเมกะโปรเจคท์บริหารจัดการน้ำ หรือที่คุ้นหูกันดีในชื่อ “โครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท” รวม 36 จังหวัด ตามที่ศาลปกครองที่คำสั่งไปเมื่อไม่นานนี้ แม้จะโดนทักท้วงถึงความไม่เหมาะสมจากหลายฝ่ายก็ตาม
“ที่มีคำสั่งศาล (ศาลปกครอง) ออกมาว่า ให้ผู้ถูกฟ้อง (รัฐบาล) นำแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไปรับฟังความคิดเห็น ในความเป็นจริงในเชิงวิชาการแล้ว มันยังไม่มีแผนแม่บทเลย แผนแม่บทของประเทศเรายังไม่เห็นเลย จริงๆ การที่บอกว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไร มันต้องมาศึกษาประมวลร่วมกัน”
รศ.ดร.สุวัฒนา จิตตลดากร ประธานอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมแหล่งน้ำ วสท. กล่าวในงานเสวนาในหัวข้อ “ประชาสัมพันธ์หรือประชาพิจารณ์?” ที่จัดโดยสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไท โดยตั้งข้อสังเกตถึงความบกพร่องของภาครัฐ ว่าตามหลักวิชาการแล้ว กิจกรรมใดก็ตามที่ต้องใช้การก่อสร้าง จะต้องศึกษาจนมั่นใจเสียก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่?
นอกจากนี้ บรรดา Module ต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลายอย่างเป็นเพียงการไปหยิบเอางานของหน่วยงานต่างๆ มารวมกันเท่านั้น ซึ่งบางโครงการก็เป็นที่ชี้ชัดแล้วว่าไม่เหมาะสม เช่นเขื่อนบางแห่ง เคยมีการศึกษากันมาแล้วหลายสิบปี และผลคือไม่ผ่านการประเมิน แต่รัฐบาลก็ยังพยายามจะสร้างให้ได้
อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วง เพราะความที่ไม่มีแผนแม่บท ทำให้ไม่มีการศึกษาความเชื่อมโยงระหว่าง Module ทั้งหมด อ.สุวัฒนา ยกตัวอย่าง Module A4 ว่าด้วยการปรับปรุงลำน้ำ ซึ่งจะทำให้น้ำไหลลงไปยังพื้นที่ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ เร็วขึ้นเนื่องจากมีการขุดลอกในแม่น้ำยม แต่พอไปดู A5 ว่าด้วยการบริหารน้ำฝั่งตะวันตก กลับไปขุดที่แม่น้ำปิง แทนที่จะขุดบริเวณใต้พื้นที่ปากน้ำโพลงไป เป็นต้น
“ความสัมพันธ์นี่มันพิสดารมาก ผลกระทบในเชิงวิชาการนี่ผมบอกได้เลยว่าผิดอย่างสิ้นเชิง ผิดอย่างรับไม่ได้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ เขาไปบอกว่าเป็นแผนแม่บท แผนแม่บทนี่ดูความสัมพันธ์ระหว่างลุ่มน้ำ ต้องเอาคำว่าลุ่มน้ำมาตั้ง ประเทศไทยประกอบด้วยหลายลุ่มน้ำ แค่เจ้าพระยานี่ก็มีลุ่มน้ำย่อยๆ สะแกกรังที่แม่วงก์อยู่ก็เป็นลุ่มน้ำย่อยอีกลุ่มน้ำหนึ่ง
แต่ละความสัมพันธ์ก็แต่ละลุ่มน้ำ ถ้าเราทำโครงการนี้แล้วโครงการถัดมา ทำต้นน้ำและกลางน้ำบางส่วน มันยกเว้นได้ไหม? อย่าง A5 ฝั่งตะวันตกนี่ไม่มีความจำเป็นเลย แต่เป็นโครงการที่แพงที่สุดใน Module ทั้งหมด เพราะราคาเฉพาะอันนี้ก็แสนล้าน กว้าง 250 เมตร ยาว 300 กิโลเมตร เราไปสร้างแม่น้ำใหม่ ไม่ใช่คลองผันน้ำ ต้องเข้าใจว่ามันคือแม่น้ำ และใหญ่กว่าแม่น้ำแม่กลอง”
นักวิชาการจาก วสท. รายนี้ กล่าว พร้อมทั้งเสริมว่า ขั้นตอนที่ถูกต้อง รัฐบาลต้องมีแผนแม่บท แล้วนำแผนแม่บทมาแบ่งเป็น Module จากนั้นค่อยว่าด้วยการทำสัญญา (TOR) แต่สิ่งที่ทำกันในขณะนี้ Module ต่างๆ ที่เกิดเป็นตัวเลขขึ้นนั้นไม่ได้มาจากแผนแม่บท แต่เป็นจากผู้รับเหมาเสนอขึ้นมา ที่สำคัญแต่ละ Module ยังรับผิดชอบโดยผู้รับเหมาคนละราย จึงไม่มีความเชื่อมโยงต่อเนื่องกันเป็นระบบ ทั้งที่เป็นโครงการใหญ่ระดับประเทศ
เช่นเดียวกับ นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ที่ชี้ให้ความเห็นถึงการทำประชาพิจารณ์ที่ถูกต้อง โดยยกตัวอย่างโครงการเขื่อนต่างๆ ที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องสมัยยังรับราชการ ว่าต้องศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบให้รอบด้าน ทั้งทางวิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม พร้อมๆ กับลงไปพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ด้วยว่ามีความคิดเห็นอย่างไร และท้ายที่สุด ไม่ว่าจะผ่านการประเมินหรือไม่ก็ต้องยอมรับ
“แม่วงก์นี่ก็ไม่ผ่านนะ สมัยผมเป็นอธิบดีกรมชลประทานก็เกี่ยวข้องด้วย ก็ไม่ผ่าน ผมก็ยอมรับว่าไม่ผ่าน ต้องทำใหม่ทำเพิ่ม แต่ก็ยังไม่ผ่าน ไม่ผ่านก็จบ แล้วใครจะไปรื้อฟื้นยังไงว่าต้องผ่าน ศึกษาออกมาให้ได้ ทั้งหมดพวกนี้ผมก็เป็นห่วงว่า แผนแม่บทตอนนี้ยังไม่มีเลย มีกรอบแนวคิด มีแผนอยากจะทำ กยน. เรียกว่าแผนแม่บท ไม่ใช่นะครับ แผนอยากจะทำ คืออยากจะทำแบบนี้
กรมชลประทานบอกตรงๆ เลยไม่ได้ศึกษาเอง จ้างสถาบันการศึกษา จ้างบริษัทไปศึกษา แต่มีเจ้าหน้าที่ไปหาผู้คน ว่าในระหว่างนั้นมันเป็นยังไง เปลี่ยนไปยังไง เพราะฉะนั้นแผนแม่บทหรือ Master Plan ต้องผ่านการกลั่นกรองทุกสิ่งทุกอย่างมาพร้อมแล้ว พร้อมที่จะขับเคลื่อนได้ ที่สุดจึงเป็นแผนยุทธศาสตร์หรือแผนแม่บท แต่แผนอยากจะทำนี่มันไม่ใช่ ใน กยน. ผมก็บอกว่าไม่ใช่ จะลากจอบลากเสียมตามแผนนี้ไม่ได้” อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ชี้แจง
อีกประเด็นหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ คือการที่มวลชนฝั่งที่สนับสนุนรัฐบาลบางส่วน กล่าวว่าเขื่อนแม่วงก์เป็นโครงการในพระราชดำริ โดยอ้างถึงบันทึกของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตร (ในขณะนั้น) นำข้าราชการกรมชลประทานเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2554 แต่ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตเช่นกัน ถึงความถูกต้องของข้อมูลในเอกสารดังกล่าว
ซึ่งในเรื่องนี้ อดีตอธิบดีกรมชลประทาน ยืนยันว่าเขื่อนแม่วงก์ไม่ใช่โครงการพระราชดำริอย่างแน่นอน พร้อมทั้งกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้จะเป็นโครงการในพระราชดำริ ทั้งเขื่อนขุนด่านปราการชล (จ.นครนายก) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (จ.ลพบุรี-จ.สระบุรี) ก็ต้องทำการศึกษาอย่างละเอียด และเข้าระบบของ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เช่นกัน ไม่มีการอ้างพระราชดำริไปลัดขั้นตอนแต่อย่างใด
“ถึงแม้จะเป็นโครงการพระราชดำริ เขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นพระราชดำริเต็มๆ ผมไม่เคยไปบอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้ทำ ไม่ใช่..มันเป็นหน้าที่ของนักพัฒนา นักจัดการ ต้องทำให้ครบ ตอบโจทย์ให้ได้ และผมเป็นผู้ดูแลเขื่อนแม่วงก์ ถึงแม้ยังไม่เด็ดขาดในสมัยผม ผมก็ขับเคลื่อน ติดตามระบบ มันไม่ผ่านก็ยอมรับมัน
อย่างแก่งเสือเต้นก็เหมือนกัน มีผู้ที่พยายามจะบอกผม ให้ไปทำให้เป็นโครงการพระราชดำริ ผมก็กราบบังคมทูล เล่าให้พระองค์ท่านรับทราบ พระองค์ท่านตรัสว่าไม่ได้ ก็จบ ผมก็เข้าใจว่าไม่ทรงเห็นด้วย แก่งเสือเต้นก็อีกนะ ก็เป็นมหากาพย์ ทีแรก กยน. จะทำอ่างเก็บน้ำ Module A1 มีแก่งเสือเต้นอยู่ด้วย ถูกตัดไปยังไงผมก็ไม่รู้” คุณปราโมทย์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับกระบวนการทำประชาพิจารณ์ จะเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 ต.ค. 2556 ณ ร.ร.จักรคำคณาทร จ.ลำพูน และไปสิ้นสุดในวันศุกร์ที่ 29 พ.ย. 2556 ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง กทม. รวมทั้งสิ้น 36 จังหวัด คาดว่าจะมีประชาชนมาร่วมเฉลี่ยเวทีละ 800-2,000 คน รวมทั้งสิ้น 40,000 คน
อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลของภาควิชาการ ที่มองว่ารัฐบาลไม่มีแผนแม่บทใดๆ และหลายโครงการก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้ประชาชนอาจออกเสียงโดยไม่ทราบข้อมูลที่ครบถ้วน ขณะที่ภาคประชาสังคม ก็เป็นห่วงว่าฟากของผู้ที่คัดค้านโครงการ จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่าในหลายพื้นที่ ใช้วิธีการเกณฑ์ประชาชนที่เห็นด้วยมาให้มากที่สุด และกันประชาชนที่ไม่เห็นด้วยออกไปให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาพิจารณ์ผ่านความเห็นชอบอย่างรวดเร็ว
จนเกิดคำถามขึ้นต่อไปว่า..ทั้งหมดที่ต้องเร่งดำเนินการให้ได้นี้ เป็นโครงการเพื่อใครกันแน่?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี