หากนับจากเหตุปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 เป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถึงวันนี้ก็ใกล้จะครบ 10 ปีแล้ว แต่ความรุนแรงยังคงปรากฏอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความพยายามของรัฐบาลไทย ในการเจรจากับกลุ่มที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่ อย่างขบวนการ BRN หลายต่อหลายครั้งก็ตาม
อีกด้านหนึ่ง ชีวิตของผู้คนที่นี่ เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก หลายคนที่ใช้ชีวิตในพื้นที่มาก่อนไฟใต้ปะทุ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า..ก่อนปี 2547 พื้นที่ชายแดนใต้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวและกิจการต่างๆ ไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ ทว่าหลังจากมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น วันนี้กระทั่งในเขตเมือง เพียงแค่ถึงเวลาเย็นๆ พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ก็เริ่มเงียบเหงาแล้ว แม้จะมีความพยายามจากหน่วยงานในพื้นที่ เช่น ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับภาคธุรกิจต่างๆ ในท้องถิ่นพยายามบอกว่าไม่น่ากลัวอย่างที่สื่อนำเสนอก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเดินทางเข้ามามากนัก
“เราเห็นชัดว่า ขณะที่ทางฝ่ายความมั่นคงกับฝ่ายพัฒนาชุมชน ก็มีจุดร่วมกันจุดหนึ่ง ว่าการแก้ปัญหาของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมยุทธศาสตร์ต่างๆ โดยใช้กำลัง หรือเร่งรัดการพัฒนาเพื่อสร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชนในพื้นที่ ยังไม่เพียงพอ เพราะคนกลุ่มหนึ่งยังมีอดีตอยู่กับประวัติศาสตร์
ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือเร่งรัดการพูดคุยกับกลุ่มผู้ซึ่งมีความคิดเห็นต่าง เพราะนโยบายได้เปิดช่องเอาไว้ชัด ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ จริงๆ เรื่องเหล่านี้ ควรต้องมีการดำเนินการมานานแล้ว แต่รัฐบาลนี้ให้นโยบายไว้ค่อนข้างชัด จึงเป็นที่มาว่า ทำไมขณะนี้ถึงมีการพูดถึงการพูดคุย แต่การพูดคุยมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมันต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานคือต้องไม่ละเมิดกฏหมายรัฐธรรมนูญ”
เสียงจาก ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ วงศ์โพธิพันธ์ รองเลขาธิการ ศอ.บต. (ด้านบริหาร) กล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่ว่า นอกจากแนวทางหลัก 2 ประการ ทั้งการวางกำลังควบคุมทางยุทธศาสตร์ พร้อมๆ กับพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กินดีอยู่ดีมากขึ้นแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ คือการพูดคุยเจรจากับกลุ่มที่ยังยึดมั่นแนวคิดตรงข้ามกับรัฐ แน่นอนว่ากระบวนการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนในหลายประเด็น
อย่างไรก็ตาม งานพัฒนาพื้นที่ อันเป็นภารกิจหลักของ ศอ.บต. ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการฟื้นฟูนาร้างให้เป็นนาข้าว โดยรองเลขาธิการ ศอ.บต. เล่าว่า ในอดีตด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้ทำระบบชลประทานขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ แต่ไม่มีการนำไปใช้ต่อเนื่อง ซึ่ง ศอ.บต. ได้ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่ ปัจจุบันมีนาข้าวที่ใช้ได้แล้วกว่า 3 พันไร่ และใช้งบประมาณไปเพียง 9 ล้านบาทเท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ามาก
“เป้าหมายปีที่แล้ว ประมาณ 3 พันกว่าไร่ ในเขตอำเภอมายอ ปะนาเระ โคกโพธิ์ ใช้เงินไม่มากครับ 9 ล้าน แต่สิ่งที่เราได้คือองค์ความรู้ของเกษตรกร ที่เกิดความฮึกเหิม อยากจะฟื้นฟูนาร้างของตัวเอง จำนวน 480 คน เราเอาคนเหล่านั้นไปเรียนรู้วิธีการทำนาที่เพิ่มผลผลิต ที่เดิมมีเพียง 30-40 ถังต่อไร่ เดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นมาเกือบ 2 เท่า ไปเรียนรู้ที่สุพรรณบุรี แม้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ประชาชนไม่ท้อถอย และปีนี้ ศอ.บต.จะสานต่อ เราสร้างกระแสนาร้างเป็นนาข้าวได้แล้ว และเราจะมีเป้าหมายอีก 3 พันไร่ในปีนี้ ที่จะบูรณาการกับกระทรวงเกษตร ให้กลายเป็นนาข้าวให้ได้”
ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ กล่าว ซึ่งนอกจากโครงการเปลี่ยนนาร้างเป็นนาข้าวแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการผลักดันโครงการอื่นๆ เช่นโครงการโรงงานแปรรูปยางพารา จากแผ่นเป็นยางก้อน สำหรับนำไปผสมกับยางมะตอยเพื่อทำถนน ทั้งนี้มีผลการทดลองแล้วว่า ถนนที่ราดด้วยยางพาราผสมยางมะตอย จะมีความทนทานมากกว่าถนนที่ใช้ยางมะตอยอย่างเดียว ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหายางพาราล้นตลาดได้อีกทางหนึ่ง
เช่นเดียวกัน หลายคนไม่ค่อยรู้ว่า จ.ปัตตานี เคยเป็นแหล่งประมงที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งพื้นที่ภาคใต้ แต่เพราะระยะหลังๆ มานี้ แม่น้ำปัตตานีมีสภาพตื้นเขิน ทำให้เรือขนาดใหญ่ไม่สามารถแล่นเข้ามาได้ ต้องนำสัตว์น้ำไปขึ้นในพื้นที่อื่นแทน รายได้ของคนใน จ.ปัตตานีจึงลดลง ล่าสุด ศอ.บต. ร่วมกับกรมเจ้าท่า ทำโครงการขุดลอกร่องแม่น้ำปัตตานี โดยในปีงบประมาณ 2557 ได้รับงบประมาณมาแล้วเกือบ 200 ล้านบาท
“เดี๋ยวนี้น้ำมันแพง เรือประมงเขาก็จะอยู่นานๆ การขนถ่ายสัตว์น้ำมา ก็ฝากมากับเรือขนส่ง แต่ปัญหาคือปลาไม่ได้มาขึ้นที่ปัตตานี ร่องน้ำเราตื้นเขินเกินไป เรือขนาดใหญ่เข้าไม่ได้แน่นอน โดยตัวประมงก็มีมูลค่าระดับหนึ่งเพราะเป็นต้นน้ำ แต่สิ่งที่ต่อจากประมง อย่างตอนที่ร่องน้ำยังลึก ยังมีเรือเข้า ช่วงที่ประมงรุ่งเรืองมากๆ ชาวบ้านตั้งแต่เขตรอยต่อสงขลา ยะลา ไปจนถึงนราธิวาส เข้ามาทำงานในแถบที่มีเรือประมง ตรงนี้เม็ดเงินเลยกระจาย
เดิมปัตตานี รายได้จากประมงมีอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นปริมาณที่เยอะมาก แต่ปัจจุบันก็ลดลงไปพอสมควร เนื่องจากว่าเรือเข้ามาไม่ได้ สินค้าอื่นๆ ก็ขายไม่ได้ อย่างโรงน้ำแข็งนี่ปิดตัวเองไป 4-5 โรงแล้ว ตรงนี้ทางสมาคมประมงปัตตานีก็พยายามเสนอสนอ ศอ.บต. แล้ว ศอ.บต. ก็ได้ของบประมาณ ก็ทราบว่าปีหน้าจะได้งบประมาณมา”
ผู้แทนสมาคมประมงรายหนึ่ง ระบุ นอกจากนี้ยังฝากถึงสื่อต่างๆ ว่าอยากให้นำเสนอมุมดีๆ ในพื้นที่บ้าง เพราะที่ผ่านมา ภาพของความรุนแรงทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาท่องเที่ยว ส่งผลต่อรายได้ของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของรองเลขาธิการ ศอ.บต. ที่ชี้แจงว่า เหตุรุนแรงมักจะเกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลหรือหมู่บ้านรอบนอก ขณะที่ในเขตตัวเมืองยังถือว่าสงบสุขอยู่มาก
“ถ้าเราดูย้อนไปในอดีต ยังไม่เคยปรากฏมีนักท่องเที่ยวที่มา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วถูกทำร้าย ผมอยู่ที่ ศอ.บต. บรรดานักท่องเที่ยวมาเลเซีย เขาจะจัดขบวน Big Bike (จักรยานยนต์ขนาดใหญ่) ก็ให้ ศอ.บต. เป็นสปอนเซอร์ให้ คนมาเลย์เขาก็อยากมา” ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ ให้ความเชื่อมั่น
ถึงกระนั้น ปัญหาที่หลายฝ่ายให้ความเป็นห่วง และถือเป็นภัยแทรกซ้อนที่ทำให้ให้ไฟใต้ไม่อาจดับได้ง่ายๆ คือเรื่องของยาเสพติด โดยหากพื้นที่อื่นๆ ของประเทศกำลังวิตกกับการระบาดของยาบ้า-ยาไอซ์ เช่นเดียวกัน คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้งฝ่ายความมั่นคงและประชาชนจำนวนไม่น้อย ก็รู้สึกหนักใจกับวิถีชีวิตที่มองว่า “ใบกระท่อม” เป็นเรื่องปกติ ที่แม้จะผิดกฎหมายและทำลายสุขภาพ แต่ก็มีการเสพกันทั่วไป
สุภาพสตรีมุสลิมในพื้นที่รายหนึ่ง เล่าให้เราฟังด้วยความกังวล ว่าคนในพื้นที่ชายแดนใต้ ดื่มน้ำต้มใบกระท่อมตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ โดยอายุน้อยที่สุดที่เคยพบ คือยังไม่ถึง 8 ขวบ เรียกว่าจำความได้ เห็นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านดื่ม ก็ดื่มบ้าง และผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด
“ที่นี่เขาไม่ถามว่าลูกไปเรียนหนังสือไหม? ลูกจะไปค้างคืนที่ไหน? ลูกกินข้าวอิ่มแล้วหรือยัง? แต่เขาจะถามว่าทำไมลูกไม่ไปละหมาด? คือเขาให้ความสำคัญกับวิถีของศาสนามากๆ” เธอกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในพื้นที่ ที่ให้ข้อมูลว่าผู้ที่เสพใบกระท่อมมักไม่กลัวเจ้าหน้าที่รัฐ แต่จะกลัวหรือยอมรับฟังครูสอนศาสนามากกว่า
นอกจากปัญหายาเสพติดแล้ว “น้ำมันเถื่อน” ธุรกิจผิดกฎหมายที่ขึ้นชื่อในภาคใต้ โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนมาช้านาน ล่าสุดที่ตำรวจชุดปราบปรามน้ำมันเถื่อน 5 นาย ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิตทั้งหมดที่ ต.ปากู อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์มหาศาลในธุรกิจมืดดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ประชาชนรายหนึ่งในพื้นที่ ยอมรับว่าสำหรับภาคใต้ตอนล่าง การใช้น้ำมันเถื่อนถือเป็นเรื่องที่ผู้คนจำนวนมากเคยชิน และไม่ใช่ว่าจะปราบปรามได้ด้วยกฎหมายอย่างเดียว เพราะเป็นปัญหาที่ฝังรากลึก ตรงกันข้าม เคยมีแนวคิดหนึ่งจากหลายคนในพื้นที่ ว่าหากมีปั๊มแก๊สให้บริการในจังหวัดชายแดนใต้ รถยนต์ก็จะหันมาใช้แก๊สแทนน้ำมัน ซึ่งแก๊สนั้นราคาถูกอยู่แล้ว ก็จะทำให้ธุรกิจน้ำมันผิดกฎหมายค่อยๆ เสื่อมลงไปเองในที่สุด แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากบรรดานักลงทุนด้านพลังงาน ด้วยสาเหตุบางประการ
“เคยมีกลุ่มรถโดยสาร ไปเสนอให้มีปั๊ม NGV เพื่อให้รถหันมาติดแก๊ส แต่เขาบอกว่าไม่ปลอดภัย พอต่อมาจะมีทหารไปคุ้มกันปั๊มให้ ก็บอกไม่มีงบ บอกว่าไม่คุ้ม เพราะต้องลงทุนปั๊มละเกือบๆ 30 ล้าน” ชาวบ้านรายนี้ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมกับเพิ่มเติมว่าปัญหาไฟใต้ ลำพังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง (ตำรวจ-ทหาร) อย่างเดียวไม่สามารถแก้ได้ แต่ต้องเป็นวาระที่ภาครัฐทั้งหมดต้องลงมาแก้ไขร่วมกัน ในทุกมิติอย่างจริงจังเท่านั้น
ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ ด้านหนึ่งเป็นเรื่องของอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน โดยกลุ่มคนที่ยังฝังใจในประวัติศาสตร์เมื่อครั้งอดีต ซึ่งก็ต้องค่อยๆ เจรจาสันติภาพกันไประหว่างรัฐไทยกับแกนนำขบวนการ แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อมองลึกลงไปแล้ว ยังมีปัญหาอื่นๆ ทับซ้อนอยู่มากมาย ทั้งความยากจน ยาเสพติด ธุรกิจน้ำมันผิดกฎหมาย ตลอดจนวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นบางประการที่มีลักษณะรุนแรงต่อสตรี ดังที่เราเคยนำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้
เป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ว่าจะแก้ปัญหาที่แทรกซ้อนเหล่านี้ได้อย่างไร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี