เชื่อว่า ณ วันนี้ คนไทยจำนวนมากกำลังเบื่อหน่ายกับสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ ทั้งการทุจริตคอร์รัปชั่นที่แพร่ขยายไปทั่วทุกวงการ กระบวนการยุติธรรมที่เข้าถึงได้ยากสำหรับคนตัวเล็กตัวน้อย วงการเมืองที่มีแต่ภาพการทะเลาะเบาะแว้งและการจัดซื้อสินค้าราคาแพง ไม่เว้นกระทั่งวงการศาสนา ที่มีข่าวทั้งนักบวชมั่วสุมเสพกาม สะสมทรัพย์สินเกินความจำเป็น อวดอุตริคุณวิเศษ ฯลฯ
พร้อมๆ กับมีผู้ตั้งคำถามว่า “ประเทศไทยยุคใหม่ เดินมาถูกทางหรือไม่?” เพราะหากนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มาแล้ว 80 ปี ประเทศไทยก็ถือว่ามีความเจริญด้านวัตถุมากขึ้นตามลำดับ เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่ตรงกันข้ามคุณภาพชีวิตและความคิดของคนกลับแย่ลงเรื่อยๆ ดังที่เป็นข่าวในแต่ละวัน ซึ่งก็มีผู้ให้ความเห็นว่า..บางทีอาจต้องหันกลับไปหา
พื้นฐานอีกครั้ง นั่นคือระบบการศึกษา และคติความเชื่อทางศาสนา เพื่อให้คนของเรามีคุณภาพเสียก่อนหรือไม่?
“ศาสนา” สอนถูกต้องหรือไม่?
“ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) นักปราชญ์ทางพุทธศาสนา ได้รับรางวัลจากองค์การ UNESCO ได้กล่าวว่า..ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ..ในความเห็นของพระพรหมคุณาภรณ์ ธรรมาธิปไตยเป็นรากฐานของประชาธิปไตย ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นความจริง”
เสียงจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กล่าวในงานสัมมนาของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหัวข้อ “วัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสู่สังคมประชาธิปไตย”ถึงความสำคัญของคุณธรรม-จริยธรรม ในการพัฒนาคนให้มีสำนึกที่ดี ซึ่งเมื่อปัจเจกชนแต่ละคนคิดดีทำดีแล้ว ระบบกลไกต่างๆ ในสังคมก็จะดีไปด้วย ทั้งนี้ หลักคุณธรรม-จริยธรรม ส่วนมากล้วนปรากฏอยู่ในคำสอนของศาสนาหลักๆ ที่มีผู้นับถือกันอย่างแพร่หลายทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม พล.อ.สุรยุทธ์ ตั้งข้อสังเกตถึงศาสนาพุทธ อันเป็นศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ ว่าที่ผ่านมาเราสอน เราปฏิบัติกันมาถูกทางหรือไม่? เช่น การระดมทุนสร้างพระพุทธรูป สร้างถาวรวัตถุต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่โตอลังการ หรือการสอนให้ทำบุญโดยคิดแบบการฝากเงินในธนาคาร ทำนองว่าทำเท่านี้ ได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะสม หรือเป็นแก่นแท้ของศาสนาหรือไม่?
“เรื่องเหล่านี้ต้องมีการพูดกัน แล้วนำมาแนะนำให้กับเยาวชน ให้กับคลื่นลูกใหม่ของสังคมเรา ที่เขาจะได้รับรู้ แต่ถ้าท่านบอกว่า เราทำบุญหนึ่งหมื่น แล้วเราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 3 ทำบุญหนึ่งแสน ไปอยู่สวรรค์ชั้นที่ 7 อย่างนี้ผมคิดว่า เราจะโน้มนำ
แนวคิดของเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธ ไปในทางที่ไม่ตรงต่อคำสอนของพระพุทธองค์เลย สิ่งเหล่านี้จำเป็นจะต้องมีการแก้ไข จะต้องมีการสั่งสอน ในระบบการศึกษาของเราให้ถูกต้อง”
พล.อ.สุรยุทธ์แสดงความเป็นห่วงการสอนศาสนาในทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งนอกจากศาสนาพุทธแล้ว ศาสนาอิสลาม ก็กำลังประสบปัญหาอย่างเดียวกัน คือมีผู้นำคำสอนไปตีความในทางที่ส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรง ดังที่ปรากฏทั่วไปในหลายพื้นที่ทั่วโลก
“การศึกษาไทย” ให้อะไรบ้าง?
อีกด้านหนึ่ง “การศึกษา” เครื่องมือสำคัญที่จะหล่อหลอมให้ประชากรในชาติกลายเป็นพลเมืองที่พร้อมทั้งสติปัญญาความสามารถ และคุณธรรมสำนึกดีต่อส่วนรวม แต่ในความเป็นจริง ล่าสุดการศึกษาไทยถูกจัดอันดับเกือบจะรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน (แม้จะมีบางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าการสำรวจอาจไม่ได้มาตรฐานก็ตาม) ขณะที่ความประพฤติของเด็กไทย นับวันยิ่งจะเต็มไปด้วยความก้าวร้าว เห็นแก่ตัว และใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นเรื่อยๆ
ดร.วิชัย ตันศิริ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นว่า นักศึกษาวิชาชีพครู (คณะครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์) ควรจะได้เรียนวิชาการเมือง หรือที่เรียกว่า “รัฐศึกษา” (political literacy) ก่อนจะจบออกไปเป็นครู เพราะบทบาทของครูไทย ไม่ใช่เพียงการสอนวิชาการเท่านั้น แต่ต้องปลูกฝังความประพฤติที่ดี ให้กับนักเรียน (เด็กและเยาวชน) อีกด้วย
“ผมอยากให้ครูไทยมีความรู้เช่นนี้ เพราะประชาธิปไตยหลัง 2475 คือการสร้างความเป็นพลเมืองเต็มขั้น จึงจำเป็นต้องมีวิชาที่เรียกว่าหน้าที่พลเมือง ซึ่งก็มีอยู่แล้ว แต่วิธีการสอนหน้าที่พลเมืองของเรา คือสอนให้รู้แบบนกแก้วนกขุนทอง ให้จำได้เฉยๆ ไม่ได้เกิดสติปัญญาขึ้นมาเลยว่า ประชาธิปไตยมันเป็นยังไง ผมก็ประหลาดใจว่า ตั้งแต่ 2475 ทำไมไม่มีใครคิดจะพัฒนาการเรียนการสอนประชาธิปไตย ให้กลายเป็นพลเมืองเต็มขั้นจริงๆ”
อดีต รมช.ศึกษาธิการ ชี้ให้เห็นความสำคัญของหน้าที่พลเมือง หากที่แต่ผ่านมา เราสอนกันแต่เพียงให้ท่องจำว่าต้องทำอะไรบ้าง (เป็นทหาร จ่ายภาษี ไปเลือกตั้ง) แต่ไม่ได้ปลูกฝังว่า การเป็นพลเมืองดีมีความสำคัญอย่างไร
อีกด้านหนึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า คุณภาพชีวิตครูในชนบทจำนวนมากยังไม่ค่อยดีนัก เช่นบ้านพักครูหลายแห่งอยู่ในสภาพทรุดโทรม และมีจำนวนไม่เพียงพอ ขนาดที่ว่าบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง บางแห่งมีครูอยู่รวมกันอย่างแออัดถึง 6 คน ทั้งที่แต่เดิม บ้านเหล่านี้สร้างมาเพื่อรองรับครูเพียง 2 คน สิ่งเหล่านี้ทำให้ครูจบใหม่ที่ไปประจำการในชนบท อยู่เพียงเพื่อรอวันย้ายกลับไปสอนในเขตเมืองเท่านั้น ตามสิทธิที่กระทรวงศึกษาธิการให้ไว้ จึงเป็นสาเหตุของความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้านคุณภาพการศึกษา ระหว่างเด็กในเมืองกับเด็กในชนบท
“ครูสอบบรรจุได้ 2 ปี ก็ย้ายกลับไปอยู่ที่มีความเจริญ ปีแรกทำงานเริ่มเรียนรู้เริ่มเข้าใจเด็ก พอปีที่ 2 ก็ย้าย นี่ก็เกิดขึ้นในระบบของเราในปัจจุบัน ทำให้การเรียนการสอนไม่ต่อเนื่อง เด็กก็รู้จักครูแค่ปีกว่าๆ ก็ย้ายแล้ว ครูคนใหม่มาก็เริ่มกันใหม่ นี่เกิดขึ้นในพื้นที่ชนบทของเรา เป็นพื้นที่ชายขอบ ทำอย่างไรถึงจะมีการบริหารจัดการครู ให้มีความพร้อมที่จะอยู่ในพื้นที่ ที่ถือว่าระดับการศึกษาด้อยกว่าตัวเมือง หรือในเขตชุมชนที่มีความสะดวกสบาย
ประเด็นสำคัญอันหนึ่งที่ผมพบเห็น คือกระทรวงศึกษาธิการไม่มีบ้านพักให้ครูในพื้นที่ห่างไกล บ้านที่สร้างไว้เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ผุพัง ชำรุดทรุดโทรม ครูต้องเอาสังกะสีบ้าง ไม้อัดบ้างมาปะ แล้วบ้านหลังหนึ่งครูอยู่กัน 6 คน ทั้งๆ ที่เขาทำไว้เดิมให้อยู่แค่ 2 คน ข้างล่างเป็นใต้ถุน เป็นห้องน้ำ ก็ต้องมากั้นห้อง เพื่อให้ครูได้มีที่อยู่ที่อาศัย นี่เป็นปัญหาสะท้อนไปยังตัวครู ว่ายังไงก็ไม่อยู่ ยังไง 2 ปีก็ขอย้าย ใครจะอยู่กับสภาพอย่างนั้น?”
พล.อ.สุรยุทธ์สะท้อนปัญหา ขณะเดียวกัน ได้เสนอแนะว่า สำหรับการสอนให้เด็กหัดใช้ความคิด อาจทำได้ง่ายๆ เช่น ลอง
ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นว่า ในโรงเรียนที่เรียนอยู่นั้นมีปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นปัญหาเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำสกปรก มีไม่พอเพียง สังคมเพื่อนนักเรียนไม่มีระเบียบวินัย หรือครูมักจะมาสายเสมอ เด็กๆ จึงไม่ได้เรียน แต่ก็สามารถกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักคิด ทั้งการมองเห็นปัญหา และก้าวไปยังการหาทางออกได้ต่อไป
ปลูก “ความดี” ก่อนสร้าง “ความเก่ง”
เมื่อพูดถึงปัญหาคุณภาพคนไทย หลายคนบอกว่าคนไทยเป็นคนเก่ง แต่เก่งในลักษณะฉลาดแกมโกง สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ไม่อาจสร้างสังคมที่ดีในระยะยาว เพราะคนไทยไม่ค่อยจะมีระเบียบวินัย ไม่เห็นคุณค่าของการทำงานหนักจนประสบความสำเร็จ ถึงขนาดที่โพลล์บางสำนักบอกว่า คนไทยส่วนใหญ่รับได้กับการทุจริตหากตนเองได้ประโยชน์ด้วย เพราะเป็นวิธีรวยทางลัด เป็นต้น
ดร.วิชัย ให้ข้อคิดเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาระบบการศึกษาไทยดำเนินไปแบบไม่ถูกทาง เพราะไปเรียงลำดับว่า “เก่ง-ดี-มีความสุข”ส่งผลให้เน้นแต่เรื่องวิชาการมากกว่าบุคลิกภาพหรือทักษะชีวิต ทั้งนี้ควรเรียงใหม่เป็น “ดี-มีความสุข-เก่ง” เพราะบุคลิกภาพของคนต้องเข้าที่เข้าทางเสียก่อน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ และถ้ามีบุคลิกภาพที่เหมาะสมแล้ว คนๆ นั้นย่อมพัฒนาตนเองไปอย่างเต็มที่ เท่าที่เขาจะทำได้ในที่สุด
“ยิ่งมีเสรีภาพมาก มีความเป็นปัจเจกชนนิยมมาก ตัวใครตัวมันมาก มันเป็นการทำลายสังคม ทำให้การอยู่ร่วมกันลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะไม่รู้ใครจะปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม ของชุมชน ฉะนั้นศาสนาจึงต้องเข้ามา ให้คนมีความบันยะบันยังในการใช้ชีวิต สอนคนให้มีความซื่อสัตย์สุจริต มักน้อยไม่โลภมาก ถ้าไม่มีทัศนคติเหล่านี้ ผมว่าไปไม่รอด
ฉะนั้นผมคิดว่า การศึกษาไทยไม่ค่อยถูกต้องนัก ไปเน้นเก่ง-ดี-มีสุข มันต้องเน้นดี-มีสุข-เก่ง ต้องดีก่อน เพราะถ้าเด็กของเราดี มีคุณภาพ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความขยันขันแข็ง มีเมตตากรุณาแล้ว ผมเชื่อว่าเด็กคนนี้จะเรียนเก่ง มันเป็นธรรมชาติ ถ้าคนเราประพฤติดี มันก็นำไปสู่การเรียนที่ดี และเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ก็จะเป็นผู้นำที่ดี หลักวิชาไม่ใช่อันดับหนึ่ง แต่บุคลิกนิสัยเป็นอันดับหนึ่ง และผมเชื่อว่า Character หรือบุคลิกภาพของเรา จะเป็นตัวชี้ชะตาชีวิตของตัวเราเอง และบุคลิกภาพของชนชาติ ก็จะชี้ชะตาของชนชาตินั้น” อดีต รมช.ศึกษาธิการ กล่าวทิ้งท้าย
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่สำคัญ ซึ่งทั่วโลกกล่าวถึง คือการเป็น “เมืองพุทธ” กล่าวคือ ศาสนาพุทธมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย ขณะเดียวกัน สังคมไทยก็ไม่ได้มีการแบ่งแยกหรือปิดกั้นผู้นับถือศาสนาอื่นๆ อย่างรุนแรงเหมือนบางประเทศ ตรงกันข้ามคนไทยแม้นับถือศาสนาต่างกัน ก็ยังมีปฏิสัมพันธ์ช่วยเหลือเกื้อกูลกันดีเสมอมา รวมถึงคำสอนของศาสนาใดที่ไปด้วยกันได้ ก็จะถูกหยิบยกมาเป็นคติร่วมกันมาช้านาน
เราหลงลืมตัวเรา มองว่าล้าหลัง แล้วไปเอาอย่างสังคมอื่นๆ ที่บอกว่าก้าวหน้า แต่มีความเป็นมาไม่เข้ากับรากของเรา มากจนเกินไปหรือไม่?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี