“IMD ชี้เด็กไทยน่าเป็นห่วง..ศักยภาพการแข่งขันร่วง อยู่อันดับ 51 จาก 57 ประเทศ”
“เด็กไทยอ่อนวิทย์..คะแนน PISA เกือบบ๊วย ได้อันดับ 49 จาก 65 ประเทศ”
“ตะลึง!..เด็กไทยสอบ O-Net ตกทั้งประเทศ”
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่องตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ วันนี้ ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กระแสดังกล่าวได้ถูกโหมกระพือขึ้นอีกครั้ง จากความวิตกกังวลของหลายฝ่าย ว่าทรัพยากรมนุษย์ชาวไทยจะไม่สามารถรับมือการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มีบางฝ่ายมองว่า ยิ่งเราให้คุณค่ากับการแข่งขันในเชิงวิชาการมากเท่าไร ดูเหมือนว่าเด็กไทยจะยิ่งมีปัญหามากขึ้น ทั้งเด็กเก่งและค่อนข้างเก่ง จะถูกบีบให้เรียนหนักทั้งในห้องเรียนและในสถาบันกวดวิชาเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ จนไม่มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตในด้านอื่นๆ
ขณะที่เด็กที่มีสติปัญญาระดับกลางๆ ไปจนถึงไม่ค่อยเก่งในด้านวิชาการ ก็จะถูกระบบที่แข่งขันอย่างหนักหน่วงนี้บีบให้ออกจากเส้นทางการศึกษา และแทบจะหมดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนในด้านอื่นๆ ต่อไป จนเกิดคำถามว่า “ที่ผ่านมา..ทิศทางการศึกษาของไทย เป็นไปเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทั้งประเทศหรือไม่?”
เรามาถูกทางจริงหรือ?
“หลักสูตรปัจจุบัน ดูเหมือนจะตอบโจทย์กับเด็ก 4 ใน 10 คนเท่านั้นเอง คือเตรียมเด็กที่เข้าสู่มหาวิทยาลัย อันนี้สอดคล้องกับผลสำรวจที่เราสำรวจทางโทรศัพท์กับเครือข่ายครู เราสัมภาษณ์ประมาณ 300 กว่าท่าน ถามครูว่าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นอยู่นี้ คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเด็ก หลังจบ ม.3 หรือ ม.6 มากน้อยแค่ไหน?
เทียบระหว่างกลุ่มเด็กด้อยโอกาสที่อาจจะเรียนได้แค่นั้นก็ต้องออกไปหางานทำ กับเด็กที่มุ่งเข้ามหาวิทยาลัย เปอร์เซ็นต์ต่างกันชัดเจนครับ ครูที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับเด็กที่มุ่งหน้าเข้ามหาวิทยาลัยมีถึง 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่มีครูแค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่าหลักสูตรที่เป็นอยู่ มันเตรียมเด็กให้พร้อมกับการใช้ชีวิตหลังจากที่เขาหยุดเรียนไปแล้ว”
ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กล่าวไว้ในงานเสวนาเรื่อง “การจัดการสถานศึกษาในชุมชนให้ทั่วถึงและมีคุณภาพ : มุมมองด้านสิทธิเด็ก เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม” ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อไม่นานมานี้
นักวิชาการจาก สสค. รายนี้ ชี้ให้เห็นระบบการศึกษาในปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นไปที่การแข่งขันเชิงวิชาการเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-Net) หรือโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ ของประเทศสมาชิกองค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (PISA) แต่แทบไม่ได้เตรียมความพร้อมใดๆ ด้านทักษะที่ต้องใช้ในชีวิตจริงเมื่อเด็กเหล่านี้พ้นจากรั้วสถาบันการศึกษาออกไปสู่โลกภายนอก ที่ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแยกส่วนวิชา หรือตายตัวแบบในตำราเรียน
“อยากจะชวนคิดนะครับ การศึกษามันไม่ใช่แค่เรื่องของ O-Net หรือ PISA แต่ต้องไปสมรภูมิที่ไกลกว่านั้น คือสมรภูมิของการใช้ชีวิต การมีงานทำที่มั่นคง อยู่ในท้องที่ท้องถิ่นของตัวเองได้ มันควรจะเป็นเรื่องแบบนี้มากกว่าหรือเปล่า?” ดร.อมรวิชช์ ตั้งคำถามถึงทิศทางการศึกษาในอนาคต
สร้าง “ความเป็นคน” ให้มากขึ้น
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ว่าการศึกษาไทยมุ่งเน้นเพียงป้อนเด็กเข้าสู่ระบบอุดมศึกษาเท่านั้น แต่สำหรับเด็กที่ไปไม่ถึงระดับดังกล่าว หลักสูตรที่เป็นอยู่แทบจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย นอกจากนี้ สภาพสังคมโดยเฉพาะค่านิยมของพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มุ่งกดดันให้บุตรหลานสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำให้ได้ เพื่อการันตีโอกาสได้งานดีๆ รายได้มากๆ ยิ่งทำให้เด็กต้องละเลยชีวิตในด้านอื่นๆ ที่ควรจะได้สัมผัส เหลือเพียงแต่ “แข่งขันให้ชนะ” เท่านั้น เท่ากับว่าได้ลดทอน “ความเป็นมนุษย์” ลงไปเรื่อยๆ จนทำให้คนๆ หนึ่ง กลายเป็นเพียงปัจจัยการผลิตในระบบเศรษฐกิจเท่านั้น
“การสอนมันควรจะเปลี่ยนไปเพื่อเป็นมนุษย์มนามากกว่าเรื่องวิชาการ คือสอนให้พึ่งตัวเองได้ มีทักษะการใช้ชีวิต ความมีวินัย ความรับผิดชอบ หรือแม้แต่เรื่องง่ายๆ ที่ผมรู้สึกว่าวันนี้มีน้อยลง คือความกตัญญูกับพ่อแม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน อะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่สำคัญคือ จะทำยังไงให้เด็กจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน แม้แต่ ม.3 มีความมั่นใจว่าเขาพร้อมจะออกไปทำงานได้ มีทักษะเรื่องการสื่อสาร การคิดริเริ่ม การแก้ปัญหา..ถ้าจะออกไปเป็นแรงงานก็เป็นแรงงานที่ใช้ได้ ไม่ใช่เป็นแรงงานที่พัฒนาตัวเองไม่ได้”
ดร.อมรวิชช์ กล่าว พร้อมทั้งเสริมว่าการสร้างคุณลักษณะของมนุษย์ที่ดี เช่นความมีวินัย ความรับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน หรือการปลูกฝังทักษะการคิดและแก้ปัญหา ก็มีวิธีการหรือหลักสูตรการสอนอยู่มากมาย
“ครอบครัว” ต้องร่วมมือด้วย
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ระบบการศึกษานั้น แม้จะวางโครงสร้างมาดีแค่ไหน หากหน่วยย่อยที่เล็กที่สุด แต่มีความสำคัญที่สุดในสังคมอย่าง “ครอบครัว” ไม่ร่วมมือกับทางโรงเรียนในการแก้ไขปัญหาของบุตรหลานของตน ระบบที่วางไว้นั้นย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ ดังจะเห็นได้จากโรงเรียนในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ดี หรือโรงเรียนในประเทศไทยบางแห่งเองก็ดี พ่อแม่กับครูจะพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลของบุตรหลานกันตลอดเวลา ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้นย่อมสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีก่อนที่จะลุกลามออกไป
รัชนี ธงไชย ครูใหญ่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก มูลนิธิเด็ก ในฐานะที่ทำงานด้านพัฒนาชุมชนด้อยโอกาสมาเป็นเวลานาน ตั้งข้อสังเกตว่า โรงเรียนที่สามารถปกป้องเด็กจากปัญหาสังคมต่างๆ ได้ มักจะเป็นโรงเรียนที่มีความผูกพันกับชุมชน เพราะชุมชนที่ส่วนใหญ่คือพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของเด็กนักเรียนเอง ย่อมต้องรู้สึกรักและห่วงใยบุตรหลานของตนมากที่สุด
“ต้องให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตลูกหลานเขา ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนในชุมชนก็เป็นญาติ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่น้องของเด็ก ฉะนั้นเวลาที่เขาดูแลเด็กเขาจะดูแลด้วยความรัก ไม่ใช่ดูแลด้วยกฎหมาย ซึ่งเอากฏระเบียบตรงนั้นตรงนี้มาใช้ มันใช้ไม่ได้กับเด็กหรอกค่ะ ดังนั้นความรักมันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ก็เลยคิดว่า การศึกษาที่เป็นความรู้ของชุมชน และเป็นความรักของชุมชน จะช่วยป้องกันเด็กให้พ้นจากภัยต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคมได้” คุณรัชนี ให้ข้อคิด
ขณะที่ ดร.อมรวิชช์ ได้ตั้งคำถามไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่นิยมให้ลูกเรียนสารพัดอย่างตั้งแต่อายุน้อยๆ ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเหมาะสมหรือไม่? โดยยกตัวอย่างการกวดวิชา ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าพ่อแม่หลายรายนิยมจ้างอาจารย์กวดวิชา (ติวเตอร์) มาสอนพิเศษให้บุตรหลานตั้งแต่ประถม หรือบางรายตั้งแต่อนุบาลเสียด้วยซ้ำไป
“สิทธิที่จะมีความสุขกับตัวเอง สิทธิที่จะศรัทธาในชีวิต ผมว่าเด็กถูกละเมิดเพราะระบบการศึกษาที่แข่งขันมาก จะโทษกระทรวง (ศึกษาธิการ) อย่างเดียวไม่ได้ สังคมก็บีบ..ผมมีลูกศิษย์ครุศาสตร์ที่สอนกวดวิชาเยอะมาก แล้วเขาก็บ่นว่าวันๆ ไปสอนกวดวิชาเด็ก 5-6 ขวบ พ่อแม่ก็มายืนดูว่าแกสอนลูกชั้นยังไง
พ่อแม่ไฮเปอร์ (พวกที่ชอบตั้งความหวังไว้มาก) ก็เยอะนะครับ จบอนุบาลต้องเข้า ป.1 (โรงเรียนดังๆ) ให้ได้นะ เด็กก็นั่งน้ำลายยืดน้ำตาไหลไป เราพร้อมใจกันละเมิดสิทธิเด็กหรือเปล่า? สิทธิที่เขาจะมีความสุข สิทธิที่เขาจะเป็นเด็ก มันหายไปไหน?” นักวิชาการจาก สสค. กล่าวทิ้งท้าย
ปัญหาการศึกษาไทย จะเห็นได้ว่ามีปัจจัยมากมาย ทั้งที่เกิดจากทิศทางของรัฐที่มุ่งเน้นแต่การแข่งขันในระดับนานาชาติ และเกิดจากพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กเองที่มีค่านิยมว่าการเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ คือการยกระดับทางชนชั้นไปสู่สถานะที่สูงกว่า
สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำ และความไม่เข้าใจกันระหว่างคนด้วยกันเพิ่มมากขึ้น เพราะทิศทางการศึกษาดังกล่าวมุ่งแก่งแย่งเอาชนะ ไม่ได้เป็นไปเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคมของมนุษย์โดยรวม และยิ่งไม่ได้ทำให้คนเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าวันนี้หลายคนบอกว่า “สยามเมืองยิ้ม” อันหมายถึงลักษณะนิสัยที่เป็นมิตรของคนไทย ที่โด่งดังไปทั่วโลก เริ่มจะเลือนหายไปแล้ว
ดังนั้นหากวันนี้ที่กระแสเรียกร้อง “ปฏิรูปประเทศไทย” ดังขึ้นเรื่อยๆ เราจึงเห็นว่า นอกจากปฏิรูปการเมืองหรือกระบวนการยุติธรรมแล้ว ระบบการศึกษาไทย อาจจะต้องปฏิรูปด้วยเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี