หลายครั้งหลายคราที่เรามักได้ยินข่าวการหายตัวไปของบุคคล ซึ่งบางครั้งก็พบเป็นศพในเวลาต่อมาบ้าง หรือบางทีก็หายสาบสูญไปเลยบ้าง เราเรียกกรณีเหล่านี้ว่า “อุ้มหาย” หรือภาษาทางการคือ “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” แน่นอนว่าก็มีทั้งที่เป็นการกระทำของคู่อริที่ขัดแย้งกันในเชิงผลประโยชน์หรือความแค้นส่วนตัว แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่เป็นการกระทำโดยคนของรัฐ
การอุ้มหายนั้นเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากทั่วโลกในยุคสงครามเย็น เมื่อสหรัฐอเมริกาแกนนำฝั่งโลกเสรีนิยม และสหภาพโซเวียตผู้นำค่ายสังคมนิยม เข้าไปมีบทบาทในประเทศอื่นๆ เพื่อทำการฝึกสอนและประสานงานกับรัฐบาลท้องถิ่นในการกวาดล้างผู้มีแนวคิดตรงข้ามกับฝ่ายตน และแม้ยุคสมัยของสงครามเย็นจะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่วิธีคิดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ “ทำอย่างไรก็ได้เพื่อกำจัดคนที่ดูแล้วว่าเป็นอันตรายต่อรัฐ” จนบางครั้งก็ใช้วิธีการนอกแบบที่ไม่ถูกต้องนัก
เช่นในประเทศไทยยุค “สงครามยาเสพติด” ที่มีคนตายไปถึง 2,800 ศพ ในจำนวนนี้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนนานาชาติอย่าง Human Right Watch คาดการณ์ว่ากว่าครึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่รัฐบาลในขณะนั้นกลับบอกแต่เพียงว่าเป็นการฆ่าตัดตอนกันเองของขบวนการค้ายาเสพติดเท่านั้น
หรือที่เกิดขึ้นในยุคเดียวกัน กับการหายตัวไปของ “ทนายสมชาย” นายสมชาย นีละไพจิตร นักกฎหมายและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2547 โดยก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ทนายสมชายได้รับทำคดีผู้ต้องหา 5 คน ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่งผู้ต้องหาเหล่านี้ให้การว่าที่ต้องรับสารภาพเพราะถูกเจ้าหน้าที่รัฐทรมาน และจากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไป 10 ปี คดีอุ้มหายอดีตประธานชมรมนักกฏหมายมุสลิมผู้นี้ดูเหมือนจะไร้ความคืบหน้า
ผศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ปัจจุบันกฏหมายไทยยังไม่มีความผิดเกี่ยวกับการบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นกรณีเฉพาะ โดยกฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องที่สุด มีเพียงมาตรา 309-310 ตามประมวลกฎหมายอาญา (ความผิดต่อเสรีภาพ) เท่านั้น และมีอัตราโทษที่ค่อนข้างเบามาก ทั้งนี้หากต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจทำได้ 2 รูปแบบ คือ 1.เพิ่มเติมลงไปในประมวลกฏหมายอาญา ว่าด้วยความผิดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐ หรือ 2.ออกเป็นพระราชบัญญัติเฉพาะเรื่องขึ้นมาใหม่
“ประเทศไทยปัจจุบัน ไม่มีฐานความผิดอาญาในเรื่องการบังคับบุคคลให้สูญหาย แต่เรามีฐานความผิดอาญา ในเรื่องความผิดต่อเสรีภาพทั่วๆ ไป ก็คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309-310 ที่ใช้บังคับกับคนทุกคนที่หน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือละเมิดเสรีภาพของบุคคลอื่น
ซึ่งโทษในมาตรา 309-310 ที่ใช้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำความผิด เป็นโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท และเป็นความผิดที่ยอมความได้ หมายความว่าไงครับ? หมายความว่าถ้าผู้เสียหายหรือญาติผู้เสียหายไม่ไปร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนก็จะไม่ดำเนินคดี เป็นความผิดต่อส่วนตัวที่ต้องมีผู้เสียหายมาเอาเรื่องเสียก่อน จึงจะดำเนินการสอบสวนได้”
อ.ปกป้อง กล่าว อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนักวิชาการด้านกฎหมาย มธ. รายนี้ ระบุว่าน่าจะออกเป็น พ.ร.บ.เฉพาะเรื่องขึ้นมาใหม่ดีกว่า เพราะกรณีอุ้มหายมิใช่เพียงการลงโทษผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังมีมาตรการอื่นๆ ครบวงจรด้วย เช่นการป้องกันการคุมขังอย่างผิดกฎหมาย หรือมาตรการเยียวยาผู้เสียหายด้วย
อีกประเด็นที่หน่วยงานความมั่นคงอาจกังวล คือแนวคิดตาม อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย (The International Convention For The Protection Of All Persons From Enforced Disappearance) ที่ผู้บังคับบัญชาต้องร่วมรับผิดด้วยหากผู้ใต้บังคับบัญชาไปกระทำความผิดดังกล่าว จะถือว่าเป็นข้อเสนอที่รุนแรงเกินกว่าเหตุหรือไม่? เพราะหลายกรณี ผู้ใต้บังคับบัญชาลงมือกระทำความผิดเองโดยผู้บังคับบัญชาไม่ได้สั่งการ
อ.ปกป้อง อธิบายประเด็นนี้ว่า ที่อนุสัญญาดังกล่าวเขียนไว้เช่นนั้น เพื่อป้องกันบรรดาลูกน้องประเภท “เอาใจเจ้านายเกินหน้าที่” ทำนองนายไม่ชอบหน้าใครลูกน้องก็จัดให้โดยไม่ต้องสั่ง แล้วเจ้านายก็ทำเป็นเลยตามเลยเพื่อปกป้องลูกน้อง ดังนั้นหากผู้บังคับบัญชารู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิดแล้วดำเนินการลงโทษ หรือก่อนหน้านั้นได้พยายามกระทำเพื่อยับยั้งมิให้ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำผิดแล้ว ผู้บังคับบัญชาผู้นั้นย่อมไม่เข้าข่ายความผิดแต่อย่างใด
“ความผิดที่อนุสัญญากำหนด เขากำหนดไว้ป้องกันไม่ให้ตัวผู้บังคับบัญชาไปช่วยลูกน้องเวลาลูกน้องไปอุ้มบุคคลให้สูญหายเพื่อเอาใจเจ้านาย ดังนั้นรู้ว่าเขาจะทำก็ต้องไปป้องกันไม่ให้เขาทำ รู้ว่าลูกน้องทำก็ไปลงโทษลูกน้อง เท่านี้ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการบังคับให้บุคคลสูญหายแล้ว”
อ.ปกป้อง ให้ความเห็น นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ของกฎหมายไทยว่าด้วยการอุ้มหายในปัจจุบันอีกหลายประการ เช่น ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 จำกัดสิทธิของญาติผู้เสียหายในการจัดการเรื่องต่างๆ แทนผู้เสียหาย ไว้เพียงกรณีผู้เสียหายเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการธุระต่างๆ ด้วยตัวเองได้แล้วเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง ผู้ถูกอุ้มหายคงไม่สามารถใช้สิทธิจัดการเรื่องใดๆ ได้ จึงน่าจะแก้ไขให้ญาติตามกฏหมาย (บุพการี บุตร สามี-ภรรยา) สามารถดำเนินการขอติดตามผู้สูญหายได้
หรือการปล่อยตัว ในอดีตบางกรณีเจ้าหน้าที่อาจจับกุมผู้ต้องสงสัยไปสอบสวน จากนั้นก็ปล่อยตัวออกมา แต่ปัญหาคือเมื่อมีการปล่อยตัวจะนำไปปล่อยในที่ที่ลับตาคน จากนั้นผู้ต้องสงสัยก็จะถูกอุ้มหายไป ดังนั้นต้องมีระเบียบการปล่อยตัว ที่รับรองได้ว่าผู้ถูกจับกุมจะกลับไปถึงมือญาติพี่น้องของเขาจริงๆ อย่างปลอดภัย
“ในสถานการณ์ปกติ รัฐต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในระดับที่สูงตามกฎหมาย และผมเชื่อว่าประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย เรามีการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกดำเนินคดีในระดับสูงมากเข้าขั้นมาตรฐานโลก ถ้าเราทำตามทุกตัว แต่ในทางปฏิบัติก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในตัวกฎหมายเราคุ้มครองไว้ดีมาก เช่นการให้ทนายความเข้าฟังการสอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งหลายประเทศยังไม่อนุญาต ดังนั้นในยามปกติเราต้องใช้ ป.วิอาญา เพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิประชาชนอย่างดี
แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติ เช่นสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลจำเป็นต้องรักษา Public Order คืนความสงบสู่สังคม ระดับการคุ้มครองสิทธิจะต่างจากวิอาญา เราจะใช้วิอาญาร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เช่นการคุมขังอาจจะนานขึ้น การคุ้มครองสิทธิบางอย่างอาจถูกจำกัดลง คนที่ถูกดำเนินคดีอาจต้องถูกจำกัดสิทธิต่างๆ ที่แตกต่างจากระดับปกติ แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ปกติหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐจะละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงเหล่านี้ไม่ได้เลย เช่นจะฆ่าโดยนอกกฎหมาย (ศาลเตี้ย) ไม่ได้ จะจับไปทรมานไม่ได้ หรือจะอุ้มคนหายไปเลยก็ไม่ได้
เพราะนี่เป็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐานที่ยกเว้นไม่ได้ ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม ดังนั้นถ้าเรายอมรับหลักการนี้ได้ เวลาปกติใช้วิอาญา สถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่างอาจจะจำกัดสิทธิบ้าง แต่ไม่ว่าสถานการณ์ใดจะอุ้มหายไม่ได้เลย ผมเชื่อว่ารัฐสามารถรักษาความสงบได้ พร้อมกับปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน อย่างไม่ผิดพันธะกรณีระหว่างประเทศ” นักวิชาการด้านกฎหมาย มธ. ฝากทิ้งท้าย
การบังคับให้หายสาบสูญ (อุ้มหาย) หรือการฆ่าด้วยวิธีนอกกฎหมาย (ศาลเตี้ย) ด้านหนึ่งอาจถูกใจกระแสสังคม ที่มองว่าคนทำผิดสมควรถูกลงโทษ และโทษตามกฎหมายที่มีนั้นเบาเกินไป แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นการทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้น เพราะบ่อยครั้งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อศาลเตี้ยเหล่านี้ มิได้เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดแต่อย่างใด รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐนอกแถวบางราย อาจใช้วิธีดังกล่าวจัดการกับประชาชนที่มีเรื่องขัดแย้งส่วนตัวกับตน เพราะไม่ต้องขึ้นศาล ไม่ต้องไต่สวนแสวงหาหลักฐานตามกระบวนการที่เปิดเผยตรงไปตรงมา
และเมื่อถึงจุดหนึ่ง..ก็กลายเป็นรัฐเองที่บีบให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จนก่อความรุนแรงเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐในที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี