กว่าครึ่งศตวรรษที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การพัฒนาแบบทุนนิยมเต็มตัว ส่งผลให้เกิดกระแสคลื่นมนุษย์อพยพย้ายถิ่น ผู้คนจากทั่วสารทิศไหลบ่าเข้าสู่เมืองหลวงอย่าง กทม. ตลอดจนเมืองใหญ่อีกหลายแห่งที่มีนิคมอุตสาหกรรม เพียงหวังว่าจะมีโอกาสทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แน่นอนว่าบางส่วนก็มาแต่เพียงหนุ่มสาว ทิ้งลูกให้ผู้สูงอายุดูแล แต่บางส่วนก็หอบลูกจูงหลานมาด้วย ยิ่งในปัจจุบัน ไม่ได้มีแต่แรงงานไทยเท่านั้น แต่ยังมีแรงงานข้ามชาติจากพม่า ลาว กัมพูชาเข้ามาด้วย
แต่ไม่ว่าจะมาแบบใด ล้วนแต่มีปัญหาทั้งสิ้น ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานติดตามมา มักจะต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่อันตราย ไล่ตั้งแต่การทิ้งให้อยู่ในห้องพัก ที่เสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนห้องใกล้ๆ กัน หรือการนำเด็กไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมที่ผู้ใหญ่ไปทำงานด้วย เช่นโรงงานที่มีสารเคมีอันตราย หรือบริเวณที่กำลังก่อสร้าง
ส่วนเด็กที่ถูกทิ้งให้อยู่กับผู้สูงวัยในชนบท ก็มีแนวโน้มจะเป็นเด็กมีปัญหา เพราะวัยที่ต่างกันเกินไปทำให้พูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ท้ายที่สุดในจำนวนนี้ ไม่น้อยเลยที่ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน กลายเป็นเด็กเร่ร่อน สุ่มเสี่ยงต่อการเข้าไปสู่วงจรยาเสพติด การค้าประเวณี หรือผันตัวเองเป็นอาชญากร
นายอนุชา วินทะไชย ผู้แทนสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ผู้ศึกษาปัญหาการย้ายถิ่นของเด็ก ทั้งเด็กไทยที่ย้ายจากชนบทเข้าเมือง และเด็กจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้าสู่ประเทศไทย เปิดเผยในงาน “สถานการณ์เด็กเคลื่อนย้ายในประเทศไทย” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อปลายปีก่อนว่า สาเหตุหลักที่เด็กต้องย้ายถิ่น ยังคงเป็นเรื่องการหลบลี้หนีความยากจนในบ้านเกิด เข้ามาในเมืองใหญ่ชีวิตที่ดีกว่า
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ ประกอบกัน เช่นเด็กไม่สามารถอยู่กับบุคคลในครอบครัวได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือญาติที่เลี้ยงดู เนื่องจากมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น หรือค่านิยมของสังคมชนบทในบางภาคของไทย ตลอดจนในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ยังมองว่า “ลูกเป็นทรัพย์สินของพ่อแม่” ดังนั้นเมื่อลูกโตขึ้น ทำงานได้ ก็จะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงพ่อแม่ แน่นอนว่าบ่อยครั้งไม่ใช่แค่ตัวพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาญาติๆ ทั้งหมดด้วย
“ยังมีความเชื่อบางอย่าง ที่เป็นสาเหตุให้ลูกเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากครอบครัว ก็คือพ่อแม่ยังเห็นว่าลูกยังเป็นทรัพย์สินของตัวเอง ก็จะดำเนินการใดๆ เพื่อให้ลูกตัวเองไปทำงานให้ได้เงินมา” คุณอนุชา กล่าว
ซึ่งสอดคล้องกับคำบอกเล่าของเยาวชนไทยรายหนึ่งที่เข้ามาเรียนต่อใน กทม. กล่าวว่า แม้กระทั่งในจังหวัดเดียวกัน แต่พ่อแม่ที่อยู่ในเขตตัวเมือง-ตัวอำเภอ จะนิยมให้ลูกเรียนสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่พ่อแม่ในเขตนอกเมือง ยังไม่นิยมให้ลูกเรียนสูงๆ เท่าไร ส่วนมากไม่เกิน ม.3 แล้วอยากให้อยู่ช่วยทำไร่ทำนา หรือเข้าไปเป็นแรงงานเพื่อส่งเงินกลับบ้านเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าเด็กจะกลายเป็นเหยื่อ ถูกล่อลวงได้อย่างเดียว ตรงกันข้าม เด็กที่หนีออกจากบ้าน กลายเป็นเด็กเร่ร่อน บางส่วนเข้าสู่วงจรค้าประเวณีโดยสมัครใจ ถึงขนาดมีการรวมกลุ่มเช่าห้องอยู่ด้วยกัน มีการติดต่อนัดหมายผ่านสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ร้ายไปกว่านั้น หลายคนถึงขนาดติดต่อนายหน้าหรือเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้จัดหาบัตรประชาชนปลอม ที่ระบุอายุให้มากกว่า 20 ปี เพราะจะสามารถแฝงตัวเข้าไปทำงานในสถานบริการยามค่ำคืนได้
“ผมเคยพูดในเวทีภูมิภาค ท่านเข้าไปเลยครับ ร้านอาหาร สถานบันเทิง มีไฟมากกว่า 3 สี เข้าไปเถอะครับ เจอแน่นอน ข้อมูลของ สส.ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยังใช้ได้ มีการค้าประเวณีเด็กแอบแฝงอยู่ เนื่องจากเด็กต้องการทำงาน จึงร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บางคน ขอเอกสารเพิ่มอายุตัวเอง ตัวเองอายุ 17-18 เท่านั้นแหละ แต่มีบัตรที่อายุ 20-21 ปี เพื่อให้ได้ทำงาน ทำกันขนาดนี้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงว่า เด็กจะทำเอกสารเหล่านี้ได้เองหรือไม่?” คุณอนุชา เล่าถึงประสบการณ์ที่ลงพื้นที่สำรวจ ซึ่งเด็กกลุ่มดังกล่าว ก็มีทั้งเด็กไทยและเด็กที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน
อีกปัญหาหนึ่งที่หน่วยงานผู้เกี่ยวข้องบ่นว่าปวดหัวมาก หนีไม่พ้น “เด็กขอทาน” เพราะปัจจุบันรูปแบบเปลี่ยนไป จากที่ถูกล่อลวงกลับกลายเป็นตัวเด็กเองที่สมัครใจ ส่วนมากเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันออก มีทั้งที่มากับครอบครัวจริงๆ และพวกที่พ่อแม่หรือญาติของเด็ก ให้ขบวนการขอทานข้ามชาติเหล่านี้เช่าบุตรหลานเพื่อให้เข้ามาขอทานในประเทศไทย
พ.ต.ท.วัชรพล กาญจนกันทร ผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) กล่าวว่า ปัจจุบันนโยบายของ ตม. ค่อนข้างเน้นเรื่องการเฝ้าระวังแก๊งค์ขอทานข้ามชาติ เช่นเมื่อเห็นผู้ใหญ่นำเด็กมานั่งขอทาน ก็จะต้องถูกส่งตัวไปตรวจ DNA ว่าเป็นพ่อแม่จริงหรือไม่? รวมถึงขอความร่วมมือจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ทำงานด้านสิทธิเด็ก ร่วมสอบสวนเพื่อคัดกรองเด็กที่อาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงด้วย
“เด็กที่เข้ามากับแรงงานต่างด้าว หรือผู้ที่เข้ามาเป็นขอทาน เราต้องมีการสัมภาษณ์คัดแยก โดยร่วมกับทาง พม. แล้วก็มูลนิธิ NGO ต่างๆ พอเราสัมภาษณ์ แล้วน่าเชื่อว่ากรณีใดไม่ใช่แม่ลูกกัน หรือเข้าข่ายเด็กจะถูกหลอกมา เราก็จะให้พนักงานสอบสวนมาสอบปากคำ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่นำพาเข้ามา”
พ.ต.ท.วัชรพล เล่าต่อไปอีกว่า แม้ ตม. จะดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง แต่ในความเป็นจริง ด้วยพรมแดนที่ติดกัน ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่มีจำกัด ทำให้คนกลุ่มนี้ แม้จะถูกจับได้และส่งกลับ แต่ไม่นานก็กลับมาอีก ถึงขนาดที่เคยเก็บสถิติแล้วพบว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับฐานเข้ามาขอทานในประเทศไทย มีรายหนึ่งถูกจับและส่งกลับติดต่อกันถึง 24 ครั้ง เพราะพอไปส่งที่ชายแดน เมื่อลับตาเจ้าหน้าที่ก็ลักลอบกลับเข้ามาใหม่ ยิ่งทุกวันนี้มีรถไฟฟรี ทำให้การเดินทางจากชายแดนเข้ามายัง กทม. หรือเมืองใหญ่ต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น
ปัญหาต่อเนื่องที่ปวดหัวไม่แพ้กัน นั่นคือเด็กที่ขอทานเป็นเวลานานๆ จะเริ่มมองว่าอาชีพนี้ได้เงินง่าย ดังนั้นแม้จะถูกจับไปเข้ากระบวนการศึกษาเล่าเรียนแบบเด็กทั่วๆ ไป แต่ก็จะอยู่ไม่ได้นานนัก สักพักก็จะกลับมาขอทานอีก ทั้งนี้วัฒนธรรมเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ นิยมทำบุญเป็นจำนวนเงินมากๆ ซึ่งการให้เงินขอทาน ก็เป็นการบริจาคอีกแบบหนึ่งที่คนไทยทำได้ง่ายและบ่อยครั้ง
“ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน เราจับดำเนินคดี ส่งฟ้องศาล กระบวนการสุดท้ายคือส่งตัวกลับ เราไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาได้ ผมมองว่าการจะแก้ไขปัญหาขอทาน หรือเด็กที่เคลื่อนย้ายมากับขอทาน ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของขอทานพวกนั้น ให้กลับมาเป็นคนในระบบ มีการหางานทำ ซึ่งตรงนี้ตำรวจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้”
ผู้แทนจาก ตม. กล่าวทิ้งท้าย พร้อมทั้งเสริมว่า การแก้ไขปัญหาขอทาน หรือเด็กเร่ร่อนต่างๆ ที่ยั่งยืนที่สุด คือต้องกระจายความเจริญ ให้ชนบทสามารถยืนด้วยตนเองได้ เพราะเมื่อมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องละทิ้งบ้านเกิด เข้ามาอยู่อย่างแออัด แก่งแย่งแข่งขันเพื่อหาโอกาสในเมืองใหญ่ๆ อีก
ปัญหาที่เกิดต่อเนื่องมาจากการย้ายถิ่นของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ใช้ให้ทำงาน ขาดโอกาสที่จะได้เรียนในระดับสูง เด็กหนีออกจากบ้านแล้วเข้าสู่วงจรอบายมุข หรือแม้แต่เด็กที่เข้ามาขอทาน ในทางหนึ่ง วันนี้ที่กระแสปฏิรูปประเทศกำลังมาแรง ก็คงถึงเวลาต้องหยิบยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท เพื่อลดความต้องการเข้าสู่เมืองใหญ่ ทั้งของเด็กเอง และทั้งพ่อแม่ของเด็กที่ต้องทิ้งลูกของตนมาทำงาน
แต่อีกทางหนึ่ง ลำพังประเทศไทยคงแก้ปัญหานี้ไม่ได้ หากประเทศต้นทางยังไม่ได้รับการพัฒนา ให้คนจากประเทศเหล่านั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงต้องฝากไว้ที่ “อาเซียน” ยกขึ้นเป็นวาระภูมิภาคอย่างเร่งด่วนด้วย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี