ตามที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณาถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ออกจากตำแหน่ง กรณีเสนอรร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาโดย กรณี นายนิคม ไวยรัชพานิช ได้ความจากการไต่สวนพยานหลักฐานของ ป.ป.ช. ว่าร่วมลงชื่อในญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 ฉบับ
นายนิคม ไวยรัชพานิช ซึ่งเป็นประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่รองประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้จัดให้มีการลงมติเพื่อวินิจฉัยตัดสิทธิสมาชิก ผู้แปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็น จำนวน 57 คน โดยอ้างเหตุว่าคำแปรญัตติของสมาชิกรัฐสภาขัดต่อหลักการ เป็นการรวบรัดให้มีการลงมติปิดอภิปราย
ทั้งที่มีผู้แปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็น ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์อภิปรายจำนวนมาก ในมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 และมาตรา 9 มาตรา10 มาตรา 11 มาตรา 11/1 และมาตรา 12 โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของสมาชิก และนอกจากนั้นยังปรากฏว่า นายนิคม ไวยรัชพานิช ได้ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภาหลายครั้ง โดยแสดงความเห็นในเชิงลบต่อกระบวนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาว่าไม่ตรงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ
ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเอกฉันท์ว่าการกระทำของนายนิคม ไวยรัชพานิช สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา (สมัยสามัญทั่วไป) ครั้งที่ 6 วันพุธที่ 4 กันยายน 2556 , ครั้งที่ 7 เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 , ครั้งที่ 8 เมื่อวันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2556 และครั้งที่ 10 เมื่อวันพุธที่ 11 และ วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2556 เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ
นายนิคม ไวยรัชพานิชได้รับญัตติปิดอภิปราย ทั้งที่มีผู้ขอแปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็นรออภิปรายอยู่ จึงเป็นการตัดสิทธิผู้ขอแปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็น โดยได้ใช้เสียงข้างมากในที่ประชุมปิดการอภิปราย
การกระทำของนายนิคม ไวยรัชพานิช สมาชิกวุฒิสภาจึงมีมูลความผิดฐานส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 3 วรรคสอง และมาตรา 291 อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 270 และมาตรา 274 ประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 56 มาตรา 58 มาตรา 61 และมาตรา 62
จึงให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตามมาตรา 273 และมาตรา 274 ต่อไป ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้เสนอเรื่องไปยังวุฒิสภาเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2557 มีข้อหาเอาผิดนายนิคม ไวยรัชพานิช รวม 4 เริ่อง คือ
1.การร่วมลงชื่อญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ
2.การทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมจัดให้มีการลงมติเพื่อวินิจฉัยตัดสิทธิสมาชิกผู้แปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็นจำนวน 57 คน โดยอ้างว่าคำแปรญัตติขัดต่อหลักการ
3.การรวบรัดให้ลงมติปิดอภิปรายทั้งที่มีผู้แปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็นที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิอภิปรายจำนวนมาก ในมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 11/1 และมาตรา 12 โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของสมาชิก
และ 4.การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. หลายครั้ง โดยแสดงความเห็นเชิงลบต่อกระบวนการสรรหา ส.ว. ว่าไม่ตรงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ด้านนายนิคม ไวยรัชพานิช แสดงความเห็นหลังรับทราบมติ ป.ป.ช.ว่า ยอมรับคำวินิจฉัย และคงไม่มีการต่อสู้ทางกฎหมายใดๆ ซึ่งเหตุผลที่ ป.ป.ช. นำมาตัดสินความผิดว่าสั่งปิดการอภิปรายทั้งที่มีผู้อภิปรายค้างอยู่ ถือว่าไม่สมเหตุสมผล เพราะการสั่งปิดประชุมเป็นการทำหน้าที่ประธานที่ต้องดำเนินการเมื่อมีผู้เสนอให้ปิดอภิปราย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้วก็ถือว่ามีผล และต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
“หลังจากนี้ก็จะเตรียมเอกสารเพื่อชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภาในการพิจารณาถอดถอนให้ออกจากตำแหน่ง โดยจากนี้ไป นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 จะทำหน้าที่รักษาการประธานวุฒิสภาแทน ยกเว้นการปฏิบัติหน้าที่เป็นรองประธานรัฐสภา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลแล้วจะส่งเรื่องมายังวุฒิสภาเพื่อให้พิจารณาถอดถอนภายใน 20 วัน และต้องเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 (3) เพื่อพิจารณาถอดถอน โดยเชื่อว่าถึงตอนนั้น ส.ว. ชุดใหม่น่าจะเข้ามาทำหน้าที่แล้ว แต่อาจฉุกละหุกบ้าง” นายนิคม ไวยรัชพานิช กล่าว
ซึ่งในเรื่องพิจารณาถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิช ออกจากตำแหน่งตาม ป.ป.ช.ส่งเรื่องที่พิจารณาเสร็จแล้วมาให้วุฒิสภาพิจารณาดังกล่าว เป็นกรณีที่วุฒิสภาพึงกระทำรีบด่วน โดยใช้วุฒิสมาชิกเดิมที่มีอยู่นั่นเองเป็นผู้พิจารณา ไม่มีเหตุที่จะต้องรอวุฒิสมาชิกที่เลือกตั้งเข้ามาใหม่ ตามที่ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ได้ให้สัมภาษณ์ว่า..เมื่อนายนิคมถูกชี้มูลความผิดแล้วต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 จะทำหน้าที่รักษาการประธานวุฒิสภา..เป็นการชอบแล้ว
ในการพิจารณาและลงมติญัตติเรื่องถอดถอนนายนิคม ไวยรัชพานิชออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 274 (แก้ไข) เป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องหนึ่ง สมาชิกวุฒิสภามีอิสระในการออกเสียงลงคะแนนซึ่งต้องกระทำโดยวิธี ลงคะแนนลับ มติที่ให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้า ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
ผู้ใดถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการ นับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน และให้ตัดสิทธิผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมือง หรือในการรับราชการเป็นเวลาห้าปี ผู้เข้าสู่การพิจารณาและลงมติก็เฉพาะผู้ที่ ป.ป.ช.ได้พิจารณาและมีมติแล้วว่าได้กระทำผิด ไม่อาจขยายเอาผิดแก่ผู้อื่นด้วยได้ รวมทั้งผลของกรณีไม่มีผลแก่บุคคลอื่น เช่น รองประธานวุฒิสภา เป็นต้น ไม่อยู่ในข่ายรับผิดด้วย
ยังมีปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง คือกรณีเรื่องเข้าวุฒิสภานอกสมัยประชุม และประธานรัฐสภาก็ถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.เช่นเดียวกัน จะปฏิบัติเช่นไร?
ผู้เขียนมีความเห็นเรื่องนี้ว่า ปกติหน่วยงานจะมีหัวหน้าและมีรองหัวหน้าปฏิบัติหน้าที่บริหารงานของหน่วยงาน เมื่อใดหากหัวหน้าไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ รองหัวหน้าของหน่วยงานนั้นก็จะปฏิบัติหน้าที่แทนโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ โดยไม่ต้องหาคำสั่งมอบหมายงานมาแนบในการปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งไป
การปฏิบัติเช่นนั้น ก็โดยที่ในทางกฎหมายมีหลักนิติธรรม (Legal Principle) อยู่ว่า..เมื่อความข้อใดข้อหนึ่งในเอกสารอาจตีความได้สองนัย นัยไหนจะทำให้เป็นผลบังคับได้ ให้ถือเอาตามนัยนั้นดีกว่าที่จะถือเอา นัยที่ไร้ผล..ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ ถ้าถือว่าประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ก็ประชุมไม่ได้ ก็จะทำให้คนทำผิดอย่างแจ้งชัด พ้นผิดพ้นโทษเป็นผู้บริสุทธิ์โดยง่ายดาย ไม่ต้องทำอะไรเลย
ซึ่งเป็นเรื่องโอละพ่ออย่างไม่ควรจะเป็น
วัชรา หงส์ประภัศร
อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
(สสร.) ฉบับปี 2550
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี