13 เมษายน..คงเป็นวันที่คนไทย (และต่างชาติอีกไม่น้อย) รอคอย เนื่องจากเป็นวันแรกของเทศกาลสงกรานต์ หลายคนได้กลับไปบ้านเกิดเพื่อพบปะญาติพี่น้อง หรืออาจจะพาครอบครัวออกไปท่องเที่ยวพักผ่อน รวมทั้งยังเป็นช่วงเวลาของการละเล่นสาดน้ำเพื่อผ่อนคลายความร้อนและความเครียดที่สะสมมาทั้งปีอีกด้วย ซึ่งสื่อต่างชาติบางสำนักถึงกับจัดให้เป็น 1 ใน 10 เทศกาลที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิตเลยทีเดียว
ทว่าวันที่ 13 เมษายนของทุกปี มิได้เป็นเพียงวันเริ่มต้นของเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น แต่ยังเป็น “วันผู้สูงอายุ” อีกด้วย สำหรับประเทศไทย รัฐบาลสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2525 กำหนดให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุ ส่วนในระดับนานาชาติ องค์การสหประชาชาติ (UN) มีมติการประชุมในปี 2533 กำหนดให้ วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุสากล
ปัจจุบันในหลายชาติ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังประสบกับปัญหา “สังคมผู้สูงอายุ” ที่โครงสร้างประชากรมีเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนน้อย แต่มีคนชราอายุยืนอยู่จำนวนมาก เช่นในบทความเรื่อง “การปรับตัวของธุรกิจญี่ปุ่น ในยุคสังคมผู้สูงอายุ” ในจดหมายข่าวประชากรและการพัฒนา ปีที่ 33 ฉบับที่ 5 (มิ.ย.-ก.ค.2556) ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ญี่ปุ่นเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2513 ในปีนั้นมีประชากรสูงวัย อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปถึงร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ
จากนั้นได้เพิ่มเป็นร้อยละ 14 ในปี 2537 จนกระทั่งปัจจุบัน แดนอาทิตย์อุทัยมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป ถึงร้อยละ 23 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด” (หมายถึงประเทศที่มีประชากรวัย 65 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ) ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุมีผลกำไรสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมผู้ใหญ่ที่ขายดีกว่าผ้าอ้อมเด็ก หรือธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ ก็หันมาค้นคว้าเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุมากขึ้น
ขณะที่ประเทศไทย กลายเป็นที่พักของผู้สูงอายุนานาชาติ เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าประเทศบ้านเกิดของผู้สูงอายุเหล่านั้น หลายคนเมื่อทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง หรือได้บำนาญหลังเกษียณอายุ ก็จะเดินทางเข้ามาลงหลักปักฐานในบ้านเราทันที เว็บไซต์ kapook.com อ้างแหล่งข่าวจากสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ ระบุว่า ชาวยุโรปนิยมส่งผู้สูงวัยเข้ามาใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายยังบ้านพักคนชรา (Nursing Home) ในเมืองไทย เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่ได้รับบริการที่ดีกว่าในบ้านเกิดของตัวผู้สูงอายุเองมาก
แม้ธุรกิจรับดูแลผู้สูงอายุต่างชาติจะบูมมากในบ้านเรา แต่สำหรับผู้สูงอายุชาวไทยยังพบปัญหาไม่น้อย ไล่ตั้งแต่ภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนว่าด้วยนโยบายการเงินของผู้สูงอายุ เพราะแม้จะมี พ.ร.บ.การออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 ระบุให้มีกองทุนการออมแห่งชาติ ให้ประชาชนได้ออมเงินตั้งแต่ยังทำงานเพื่อเป็นบำนาญในวัยเกษียณ แต่เมื่อ “อำนาจเปลี่ยนมือ การเมืองเปลี่ยนขั้ว” รัฐบาลใหม่ที่เข้ามากลับพยายามที่จะยกเลิกกฎหมายดังกล่าว โดยอ้างว่าจะนำไปรวมกับมาตรา 40 ของประกันสังคม ยังไม่นับภาวะการถูกลูกหลานทอดทิ้ง เพราะต้องไปทำงานไกลบ้านอีกกรณีหนึ่ง
ด้าน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ทำการสำรวจความคิดเห็นคนไทยอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 1,245 รายทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1-3 เม.ย. 2557 ในหัวข้อ “ใคร? ควรดูแลผู้สูงอายุไทยให้อยู่ดีมีสุข” พบว่าผู้สูงอายุไทยต้องการบริการต่างๆ จากภาครัฐดังนี้ ร้อยละ 35.82 หรือความเห็นส่วนใหญ่ ระบุว่า ต้องการบริการทางการแพทย์-การรักษาพยาบาล รองลงมา ร้อยละ 14.08 ระบุว่า ต้องการบริการด้านการฟื้นฟูบำบัดทางกายภาพ (รวมทั้ง สถานที่ออกกำลังกาย)
ร้อยละ 11.30 ระบุว่า ต้องการบริการด้านการเดินทาง (รถบัส รถตู้ หรือรถแท็กซี่สำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ) ร้อยละ 8.55 ระบุว่า ต้องการบริการด้านการปรึกษาทางการเงิน (เช่น ให้คำแนะนำการออม การซื้อกองทุน) ร้อยละ 7.62 ระบุว่า ต้องการบริการบ้านพัก ที่อยู่อาศัย (เช่น การจัดสรรห้องพักหรือบ้านสำหรับครอบครัวผู้สูงอายุ) ร้อยละ 7.50 ระบุว่า ต้องการบริการด้านโภชนาการ (เช่น จัดส่งอาหารสำหรับผู้สูงอายุในลักษณะของการผูกปิ่นโต
ร้อยละ 6.23 ระบุว่า ต้องการบริการด้านการปรึกษาทางจิตใจ (เช่น มีจิตแพทย์เฉพาะทาง) ร้อยละ 1.51 ระบุว่า ต้องการบริการในด้านอื่น ๆ เช่น การเพิ่มสวัสดิการเบี้ยผู้สูงอายุให้มากขึ้น เงินบำเหน็จบำนาญ การฝึกอาชีพเสริม หรืองานอดิเรก มีเพียงร้อยละ 7.39 เท่านั้นที่ระบุว่าไม่ต้องการ เพราะสามารถดูแลตัวเองได้ หรือมีลูกหลานและคนในครอบครัวคอยดูแลอยู่
อีกคำถามหนึ่ง เปรียบเทียบบริการผู้สูงอายุระหว่างหน่วยงานรัฐกับเอกชน ในส่วนของภาครัฐ ความเห็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 56.87 ระบุว่า ทุกอย่างดี ไม่มีปัญหา รองลงมาในสัดส่วนที่ห่างกันพอสมควร ร้อยละ 24.74 ระบุว่า ขาดความเอาใส่ใจในการดูแล-ให้บริการของบุคลากร ไม่เป็นมืออาชีพ ไม่มีมาตรฐาน ล่าช้า ร้อยละ 16.26 ระบุว่า หน่วยงานที่ให้บริการ ไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง และร้อยละ 2.12 ระบุว่า ค่าใช้จ่ายแพงเกินไป
ขณะที่ในส่วนของเอกชน ร้อยละ 57.91 หรือผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ระบุว่า ค่าใช้จ่ายแพงเกินไป รองลงมา ร้อยละ 37.38 ระบุว่า ทุกอย่างดี ไม่มีปัญหา ร้อยละ 2.88 ระบุว่า การบริการไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน และร้อยละ 1.83 ระบุว่า บุคลากรไม่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้สูงอายุ เท่ากับว่าภาครัฐจะมีปัญหากรณีบุคลากรบางส่วนไม่มีคุณภาพ ขณะที่ภาคเอกชน เรื่องของราคาที่ค่อนข้างแพง ยังเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเข้าถึงบริการ
นอกจากนี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ยังได้ทำการสำรวจความคิดเห็นคนไทยอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 1,525 รายทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 2-9 เม.ย. 2557 ในหัวข้อ “สิ่งที่ผู้สูงอายุอยากให้และอยากได้” พบว่าส่วนใหญ่ของกลุ่มตัวอย่าง หรือร้อยละ 47.49 ต้องการให้ภาครัฐเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ทิ้งห่างอันดับ 2 ร้อยละ 16.78 ที่ระบุต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นวิทยุ พัดลม ตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ , อันดับ 3 ร้อยละ 15.06 ระบุต้องการเสื้อผ้าใหม่ๆ เพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ไทย , อันดับ 4 ร้อยละ 11.60 เครื่องอุปโภค-บริโภค เช่นข้าวสาร อาหารแห้ง ของใช้ส่วนตัวอื่นๆ และอันดับ 5 ของใช้ที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุโดยตรง เช่นแว่นตา ฟันปลอม ร่ม รองเท้า เครื่องช่วยฟัง ขาเทียม เป็นต้น เห็นได้ชัดว่าผู้สูงอายุไทยกังวลเรื่องรายได้อย่างมาก
สะท้อนถึงภาวะ “2 มาตรฐาน” ด้านหนึ่งผู้สูงอายุจากทั่วโลกสามารถเข้ามาใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสบาย แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้สูงอายุเจ้าของประเทศจำนวนมากยังคงต้องตกระกำลำบาก ขนาดที่บางรายแม้ร่างกายชรามากแล้ว กลับยังต้องดิ้นรนทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตนเอง แทนที่จะได้พักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายสิบปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี