ระเบิดทิ้งจากอากาศยาน ชนิด AN-M30A1 ขนาด 100 ปอนด์
สงคราม..คำๆ นี้ เชื่อว่าใครก็คงไม่อยากให้เกิด เพราะทุกครั้งที่คนตั้งแต่สองกลุ่มขึ้นไปขัดแย้งจนถึงขั้นใช้ความรุนแรงตอบโต้กัน ผู้สูญเสียมักมิใช่เพียงคู่กรณีเท่านั้น แต่อาจเป็นใครก็ได้ที่โชคร้ายถูกลูกหลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามยุคใหม่ ที่ยุทโธปกรณ์มีอานุภาพรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ “ระเบิดจากอากาศยาน” กลายเป็นอาวุธหลักที่ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะใช้ประหัตประหารศัตรูของตน
ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลไทยขณะนั้นเลือกเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐอเมริกาใช้เครื่องบินตระเวนทิ้งระเบิดตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญหลายแห่งทั่ว กทม. เพื่อตัดกำลังของฝ่ายอักษะ ปัญหาคือ..แม้สงครามจะสงบไปแล้วเกือบ 70 ปี แต่ระเบิดจำนวนมากที่ตกค้างยังคงหลับใหลอยู่ใต้พื้นดิน รอผู้เคราะห์ร้ายไปปลุกมันให้ทำงานอีกครั้ง
2 เม.ย. 2557..โลหะขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง ถูกนำพาไปยังร้านรับซื้อของเก่าย่านลาดปลาเค้า พนักงานในร้านเมื่อรับของไปแล้วได้พยายามตัดด้วยความร้อน โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือมรดกจากสงครามในอดีต ชั่วพริบตา..ร่างของพนักงานดังกล่าวแหลกเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงระเบิด ไม่เพียงเท่านั้น อานุภาพของมันยังทำให้เกิดความเสียหายกับบ้านเรือนใกล้เคียงนับสิบหลัง ในรัศมีที่ห่างออกไปอีกหลายร้อยเมตรอีกด้วย
ข้อมูลจาก กองทัพอากาศ ที่ฝากเตือนประชาชนหลังเกิดเหตุครั้งนี้ ระบุว่าทั่ว กทม. มีพื้นที่เสี่ยงกรณีวัตถุระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 รวม 5 จุด คือ 1.สถานีรถไฟบางซื่อ 2.โรงพยาบาลศิริราช 3.สถานีรถไฟบางกอกน้อย 4.สะพานพุทธ และ 5.ย่านพระราม 6 ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดในสมัยสงครามถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ญี่ปุ่นใช้ตั้งฐานทัพและส่งกำลังบำรุง
“สิ่งที่ทำให้วัตถุระเบิดเกิดการระเบิด 1.ความร้อน ความร้อนนี่อันตรายมากกับวัตถุระเบิด 2.การกระทบกระแทก 3. การสั่นสะเทือน 4.ประกายไฟและการเสียดสี ฉะนั้นเวลาเราทำงานกับวัตถุระเบิด เราจะไม่นำไปวางไว้กลางแดด ยังไงก็ต้องมีสิ่งห่อปกคลุมไว้ตลอด เนื่องจากความร้อนเป็นตัวอันตรายสำหรับวัตถุระเบิด
ส่วนการกระทบกระแทก ของบางอย่างถ้ามันกระแทกกันแล้วมันไว ตัวอย่างหนึ่งคือที่นครสวรรค์ เจ้าหน้าที่ทหารบกก็จะเอาของที่เสื่อมสภาพไปทำลาย ปรากฏว่ามันมีการกระทบกระแทกกันเกิดขึ้น แล้วก็เกิดการระเบิด รถสิบล้อนี่หายไปทั้งคันครับ แล้วร่างเจ้าหน้าที่ก็ยังหาไม่เจอ”
น.ท.มรกต พิงคานนท์ หัวหน้าแผนกปฏิบัติการและการฝึก กองทำลายวัตถุระเบิด กรมสรรพาวุธทหารอากาศ กล่าวในงานอบรมให้ความรู้กับผู้ประกอบอาชีพรับซื้อของเก่า ณ สถานีตำรวจนครบาลบางเขน 10 เม.ย. 2557 ที่ผ่านมา อธิบายถึงเงื่อนไขที่ทำให้วัตถุอันตรายนี้ทำงานได้ ซึ่งก็ตรงกับกรณีลาดปลาเค้า ที่พนักงานร้านรับซื้อของเก่าใช้แก๊สความร้อนสูงตัดโลหะโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนเกิดเหตุสลดดังกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดจากอากาศยานรายนี้ แนะวิธีสังเกตว่าวัตถุที่พบเป็นระเบิดที่ทิ้งจากอากาศยานหรือไม่ โดยดูจากส่วนประกอบ 4 อย่างดังนี้ 1.ชนวน อาจจะอยู่ที่ส่วนหัวหรือหางก็ได้ หากได้รับแรงกระตุ้น เช่นความร้อนหรือการกระแทกก็จะทำให้ระเบิดทำงาน 2.ตัวระเบิด หรือก็คือภาชนะบรรจุระเบิด ส่วนมากทำจากเหล็ก
3.หาง มีไว้สำหรับคุมทิศทางการพุ่งสู่เป้าหมายของระเบิด ที่พบบ่อยคือเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม หรือไม่ก็เป็นทรงแฉกคล้ายครีบปลา และ 4.ลวดห้าม เป็นตัวนิรภัยมิให้ใบพัดตัวจุดชนวนระเบิดทำงาน ทำให้เคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ หากเป็นวัตถุระเบิดที่ผลิตเพื่อใช้บรรทุกบนอากาศยาน จะต้องมี “หูแขวน” สำหรับล็อกตัวระเบิดกับอากาศยานด้วย
“เมื่อมีเหล็กมาขายให้เรา เราดูก่อนเลยว่าลำตัวมันมีหูแขวนหรือเปล่า? อันนี้เป็นจุดสังเกตเลยที่เราพบ อีกอย่างคือถ้าระยะห่างระหว่างหูแขวนส่วนหัวกับหางไม่เกิน 14 นิ้ว สันนิษฐานว่าระเบิดขนาดไม่เกิน 1,000 ปอนด์ แต่ถ้าเป็น 2,000 ปอนด์ขึ้นไป ก็จะห่างกันประมาณ 30 นิ้ว” น.ท.มรกต ระบุ
อีกวิธีสังเกต..หากเป็นระเบิดมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ระเบิดแรงดันสูงที่ใช้ทำลายเป้าหมายจริงๆ ตัวโลหะที่เป็นภาชนะบรรจุจะทาสีเขียวเข้ม (เขียวขี้ม้า) และคาดด้วยแถบสีเหลือง ขณะที่ระเบิดสำหรับให้นักบินฝึกใช้จะทาด้วยสีฟ้า ภายในบรรจุระเบิดแรงดันต่ำ อย่างไรก็ตาม ระเบิดรุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะของประเทศใด จะพยายามใช้สีมาตรฐานดังกล่าวเพื่อความเข้าใจตรงกัน เนื่องจากปัจจุบันมีการซ้อมรบร่วมระหว่างชาติต่างๆ มากขึ้น
“ถ้าเป็นระเบิดยุคปัจจุบัน ถึงไม่ใช่เขียวขี้ม้า แต่ก็จะออกโทนสีเขียว นี่คือสังหารแน่นอน แต่ถ้าเป็นสมัยสงครามโลก ของญี่ปุ่นนี่เป็นสีดำ แต่ถ้าเป็นปัจจุบัน ไปเจอที่ไหนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบรรจุวัตถุระเบิดแรงสูง นอกจากไปเจอลำตัวสีฟ้า อันนี้เป็นลูกระเบิดฝึก คือเดี๋ยวนี้เขาพยายามจะให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะเวลามาฝึกร่วม มันจะได้ไปด้วยกันได้” น.ท.มรกต กล่าวทิ้งท้าย
ธุรกิจค้าและแปรรูปของเก่า จัดเป็นงานที่รายได้ดีประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะสิ่งของประเภทโลหะถือว่ามีราคาสูงพอสมควร ทำให้เมื่อมีผู้พบวัตถุที่ทำจากโลหะ เช่นเหล็กหนาๆ ทั้งหลาย ก็มักจะนำไปขายต่อยังจุดรับซื้อของเก่า ซึ่งบางครั้งอาจไม่รู้ว่านั่นเป็นระเบิดแล้วก็เกิดอันตรายได้
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำ..ด้านหนึ่งคือการให้ความรู้กับผู้ประกอบอาชีพดังกล่าวถึงวิธีการสังเกตวัตถุต้องสงสัยที่มีผู้นำมาขาย ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ปัจจุบันพบว่าร้านรับซื้อของเก่าหลายแห่งตั้งอยู่ในเขตชุมชน และในจำนวนนี้บางรายไม่มีใบอนุญาต ซึ่งเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น ก็อาจก่อความเสียหายได้เป็นวงกว้าง
ทั้งนี้เราหวังว่า..กรณีลาดปลาเค้า คงไม่เป็นเพียง “ไฟไหม้ฟาง” แต่จะต้องเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หันมาใส่ใจอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียเช่นนี้ขึ้นอีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี