สงคราม, การเมือง และการกีฬา มันไม่ได้ถูกแยกออกไปตามที่หลายคนอยากให้เป็นแบบนั้น
การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 2016 รอบคัดเลือก กลุ่ม ไอ เมื่อคืนวันอังคารที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา เกิดความวุ่นวายที่สนาม ปาร์ติซาน สตาดิโอน
เป็นเกมระหว่าง ทีมชาติเซอร์เบีย พบกับ ทีมชาติแอลเบเนีย สองชาติที่มีปัญหากระทบกระทั่งในเรื่องการเมืองมานานนับร้อยปี
เกมผ่านได้เพียงครึ่งชั่วโมง ได้มี “โดรน” หรือ เครื่องบินเล็กไร้คนขับลำหนึ่งบินเข้ามาในสนาม พร้อมกับนำธงกลุ่มชาตินิยมแอลเบเนีย
ธงดังกล่าวที่มีภาพของ อิสมาอิล เกมาลี่ ผู้นำการเคลื่อนไหวจนนำไปสู่การประกาศอิสรภาพจากจักรวรรดิอ็อตโตมัน และก่อตั้งรัฐแอลเบเนีย ปี 1912 กับ อิซ่า โบเลตินี่ ผู้นำการประท้วงของชาวแอลเบเนียเมื่อปี 1910
นอกจากธงกลุ่มชาตินิยมแล้ว รวมถึงสัญลักษณ์แผนที่”เกรตเตอร์ แอลเบเนีย” อีกด้วย
“เกรตเตอร์ แอลเบนีย” มาจาก ดินแดนที่กลุ่มชาตินิยมชาวแอลเบเนีย มีความประสงค์ให้เกิดขึ้น นอกเหนือจาก แอลเบเนีย กับ โคโซโว ยังมีพื้นที่คลอบคลุมส่วนหนึ่งของ เปรเซโว, บูยาโนวัช กับ เม็ดเวด้า ใน เซอร์เบีย, ดินแดนทางตะวันออกของมอนเตเนโกร, ตะวันตก-ตะวันตกเฉียงเหนือของมาซิโดเนีย และ ตะวันตกเฉียงเหนือของกรีซ
สเตฟาน มิโตรวิช เซนเตอร์ฮาล์ฟเซอร์เบีย พยายามดึงธงลงมา ทำให้นักเตะแอลเบเนีย ไม่พอใจ ก่อนจะเกิดการชุลมุน จนเหตุการณ์บานปลายมีการปะทะกันอย่างรุนแรงของนักบอลทั้งสองทีม รวมไปถึงแฟนบอลเซอร์เบียบางรายที่ลงมาในสนาม ทำให้ มาร์ติน แอ็ตกินสัน ผู้ตัดสินจากอังกฤษ ต้องสั่งนักเตะเข้าห้องพักโดยด่วน และหลังหยุดไปนาน 30 นาที จึงมีการประกาศยุติการแข่งขันในนาทีที่ 41
สุดท้าย แอลเบเนีย โดนปรับแพ้ 0-3
เกมนี้นับเป็นหนแรกตั้งแต่ปี 1967 ที่ แอลเบเนีย ยกพลมาดวลแข้งกับ เซอร์เบีย ถึงถิ่น โดยก่อนแข่ง สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ได้ทำการสั่งห้ามแฟนบอลทีมเยือนตามมาเชียร์เป็นอัน เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุรุนแรง เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองมายาวนานนับร้อยปี
มูลเหตุก็คือดินแดนโคโซโว นั่นเอง
โคโซโว มีประชากรส่วนใหญ่เชื้อสายแอลเบเนีย ซึ่งนักเตะ 9 คนในชุดนี้เกิดในโคโซโวอีกด้วย ซึ่งดินแดนนี้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เบีย หรือ อดีตยูโกสลาเวีย ตั้งแต่จบสงครามบอลข่าน ปี 1912-1913
โดยที่ความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างประชากรเชื้อสายแอลเบเนียน กับเชื้อสายเซิร์บ ได้ก่อตัวสั่งสมเรื่อยมาและนำไปสู่การทำสงครามหลายครั้ง
ทุกอย่างยังไม่แรงมาก เพราะ ยูโกสลาเวีย ที่ปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์ ควบคุม6 สาธารณรัฐของยูโกสลาเวีย ประกอบด้วย บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีน่า, สโลวีเนีย, โครเอเชีย, เซอร์เบีย, มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย รวมไปถึงมณฑลอิสระอย่าง โคโซโวและวอยโวดีนา ซึ่งเป็นมณฑลปกครองตนเอง
ดินแดนสลาฟ มีผู้นำที่มีความสามารถในการปกครองและผสานความเป็นสมานฉันท์ระหว่างเชื้อชาติ คือพลเอกโยซิป บรอซ ตีโต้ ทำให้ความขัดแย้งทางเชื้อชาติไม่มีปัญหามากนัก
เมื่อผู้นำตีโต้ ถึงแก่กรรม ผู้นำที่ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่ง คือ สโลโบดาน มิโลเซวิช ซึ่งเป็นเซิร์บหัวรุนแรง ทำให้ก่อชนวนปัญหาเชื้อชาติเกิดขึ้นมาอีกครั้ง พอดีจังหวะกับที่ ระบบคอมมิวนิสต์ในรัสเซียล่มสลายในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 พอดี
ทำให้ก่อเกิดสาธารณรัฐที่ต้องการแยกเป็นอิสระ
เมื่อ ยูโกสลาเวีย เริ่มแตกออกเป็นประเทศต่าง ในช่วงปี 1990 เป็น 5 ประเทศ นั่นคือ โครเอเชีย วันที่ 25 มิถุนายน 1991, สโลวีเนีย วันที่ 25 มิถุนายน 1991บอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1992,เซอร์เบีย และมอนเตเนโกร วันที่ 17 เมษายน 1992 และ มาซิโดเนีย วันที่ 8 กันยายน 1991 ก่อนจะได้รับการรับในปี1994
แน่นอนว่า โคโซโว ย่อมต้องการที่จะแยกประเทศเช่นกัน รวมถึงไปอยู่กับแอลเบเนีย
ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนชาวแอลเบเนียน ที่เรียกว่า KLA หรือ UCK กับฝ่ายรัฐบาลยูโกสลาเวียที่อยู่ในโคโซโว ซึ่งในขณะนั้นพลเมืองส่วนใหญ่ที่อาศัยในโคโซโวจะมีเชื้อสายแอลเบเนีย ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังเนื่องจากความขัดแย้งและต้องการแยกประเทศรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เหตุการณ์ตึงเครียดอย่างที่สุด เมื่อ เซอร์เบีย ส่งกองทัพฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมในโคโซโวในปี 1998 กระทั่งในเดือนมิถุนายน 1999 สหประชาชาติ ได้ส่งทหารนาโต้ 40,000 คนเข้ารักษาความสงบในโคโซโว จึงกลายเป็นสงครามระหว่าง ทหารเซิร์บ กับ ทหารนาโต้ สุดท้าย เซอร์เบีย ถอนทัพหลังโดนยำอย่างหนักถึง 3 เดือนเต็ม ๆ
จากนั้น โคโซโว จึงได้ชื่อว่าเป็นแคว้นหนึ่งของเซอร์เบีย เพียงในนามเท่านั้น เพราะการบริหารงานทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ โดยมีโดยกองกำลังทหารของสหประชาชาติ นำโดย นาโต้ เป็นผู้ดูแลความปลอดภัยในประเทศ
ยิ่งการประกาศเอกราชของโคโซโวในปี 2008 ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์เบียกับโคโซโวเลวร้ายยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมารัฐบาลเบลเกรดยังคงถือว่า โคโซโว เป็นจังหวัดหนึ่งของเซอร์เบีย แม้ว่า โคโซโวจะได้รับการรับรองจากหลายประเทศทั่วโลกให้เป็นรัฐเอกราชแล้วก็ตาม อาทิ สหรัฐ, ฝรั่งเศสหรือ สหราชอาณาจักร รวมถึงไทย ส่วนพวกที่หนุนเซิร์บ อาทิ รัสเซีย, สเปน
นอกจากนี้ "นิวส์ 24" สถานีโทรทัศน์เซอร์เบีย รายงานว่า โอลซี่ ราม่า น้องชายของ เอดี้ ราม่า นายกรัฐมนตรีแอลเบเนีย ที่เข้าไปชมเกมนั้น ถูกจับกุมที่ห้องวีไอพีของสนาม และกักตัวไว้ประมาณ 40 นาที เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนพาเขาไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับประเทศในทันที
ทั้งนี้ เซอร์เบีย กับ แอลเบเนีย มีแผนการที่จะปรับปรุงและยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยที่ เอดี้ ราม่า นายกฯแอลเบเนีย มีกำหนดการไปเยือนกรุงเบลเกรด ของเซอร์เบีย ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ และนับเป็นการเดินทางมาเยือนเซอร์เบีย หนแรก ของผู้นำแอลเบเนีย เป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีเลยทีเดียว
แอลเบเนีย มีพรมแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับ เซอร์เบีย โดยมี โคโซโว คั่นกลาง ซึ่งดินแดนนี้มีกลุ่มชาติพันธุ์แอลเบเนียเป็นชนส่วนใหญ่
ไม่แปลกที่จะปะทะกันง่าย และไม่แปลกที่จะฟัดกันบ่อย
แต่ไม่ควรเกิดขึ้นในสนามบอล!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี