ศึกลูกหนัง เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 รอบชิงชนะเลิศ นัด 2 ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ดวลกับ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ที่สนาม บูกิต จาริล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เริ่มฟาดแข้งในเวลา 19.00 น. ช่อง 7 สีถ่ายทอดสด โดยเกมนี้ “ช้างศึก” จะสวมชุดแดงลงสนาม ส่วนมาเลเซียจะสวมเสื้อสีน้ำเงิน
ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ธ.ค. ที่โรงแรม พีเจ ฮิลตัน กรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้มีการแถลงความพร้อมของทั้งสองทีม โดยวันนี้ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีมชาติไทย ได้เข้าร่วมแถลงเป็นครั้งแรกในทัวร์นาเมนท์นี้ โดยเผยว่าสภาพทีมต้องรอเช็คความฟิตของ ชาริล ชัปปุยส์ กองกลางคนสำคัญเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่มีอาการบาดเจ็บข้อเท้าเล็กน้อย ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่หากลงไม่ได้จริงจะส่ง อดุล หละโสะ ลงทำหน้าที่แทน โดยนัดนี้ จะรับแผนจากชุด 11 ตัวจริงในนัดแรกเล็กน้อย โดยให้ ประกิต ดีพร้อม ลงเล่นแทน มงคล ทศไกร พร้อมโยก อดิศักดิ์ ไกรษร จากกองหน้าตัวเป้า ไปเล่นริมเส้นฝั่งขวา และดัน “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์
ไปยืนหัวหอกตัวเป้า
“เกมนี้จะไม่ใช่งานง่ายของทีมชาติไทย แม้ว่านัดแรกจะเอาชนะมาก่อนแล้วก็ตาม โดยเราจะเล่นเหมือนสกอร์ยังเสมอกันที่ 0-0 และจะเปิดเกมรุกใส่เหมือนเดิม ไม่มีเน้นตั้งรับแน่นอน ทั้งนี้ได้กำชับเรื่องการทำฟาวล์ด้วย เพราะมาเลเซีย ได้จุดโทษในรายการนี้มาแล้ว 3 ครั้ง และแม้ว่านัดนี้แฟนบอลเจ้าถิ่นจะเข้ามาเชียร์ร่วมแสนคน แต่เชื่อว่าลูกทีมของตนจะไม่ตื่นสนามอย่างแน่นอน และตนมั่นใจว่า ไทยจะคว้าแชมป์รายการนี้ครั้งแรกในรอบ 12 ปี ได้สำเร็จ พร้อมกันนี้หลังจบรายการนี้ ตนจะคิดถึงเรื่องอนาคตการคุมทีมชาติไทยต่อไป ว่าจะรับทำหน้าที่ต่อหรือไม่” กุนซือจอมตีลังกากล่าว
ทางฝั่ง ดอลลาห์ ซาลเลห์ กุนซือมาเลเซีย เจ้าถิ่น กล่าวว่า เกมนี้ลูกทีมของตนต้องเล่น 200 เปอร์เซ็นต์ เพื่อพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้ การได้กองเชียร์เข้ามาให้กำลังใจจนเต็มสนามจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ได้เปรียบทีมไทย ส่วนสภาพทีมรอเช็คอาการบาดเจ็บของกองหน้าตัวเก๋าอย่าง อินดรา พูตรา เพียงคนเดียวเท่านั้น
สำหรับเกมนี้ ไทยจะลงเล่นในระบบ 4-3-3 โดย 11 ตัวจริงมีดังนี้ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์(ผู้รักษาประตู), พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, สุทธินันท์ พุกหอม, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ (อดุล หละโสะ), เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์, อดิศักดิ์ ไกรษร, ประกิต ดีพร้อม และ ชนาธิป สรงกระสินธ์
ทางฝั่ง มาเลเซีย ดอลลาห์ ซาลเลห์ จะให้ ซาฟี ซาลิ ตัวรุกคนสำคัญ กลับมาเป็นตัวจริง หลังจากนั่งสำรองในนัดที่แล้ว ร่วมด้วย อัมรี ยาห์ยาห์ ตัวริมเส้น และ ซาฟิก ราฮิม 2 นักเตะ ที่ยิงไทยในเกมรอบแรก ที่ช้างศึก ชนะ 3-2
โดยสถิติของคู่นี้ ในการพบกันทุกรายการ จากบันทึกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ(ฟีฟ่า) พบกัน 90 ครั้ง ไทยชนะ 27, เสมอ 28, มาเลเซีย ชนะ 35 ขณะที่ในการแข่งขันรายการนี้พบกัน 12 ครั้ง ไทย ชนะ 7, เสมอ 3, มาเลเซีย ชนะ 2 นอกจากนี้ในอดีตที่ผ่านมาของศึกชิงแชมป์อาเซียน ที่จัดแบบเหย้าเยือนตั้งแต่ปี 2004 ทีมที่ชนะในรอบชิงชนะเลิศนัดแรก ล้วนคว้าแชมป์ทุกครั้ง และ “โค้ชซิโก้” กำลังสร้างประวัติศาสตร์ เป็นคนแรกที่ได้แชมป์ ทั้งในฐานะโค้ช และนักเตะ ซึ่งเขาเคยชูถ้วยมาแล้วเมื่อปี 1996, 2000 และ 2002 ซึ่งหากไทยได้แชมป์สำเร็จ จะทำสถิติคว้าแชมป์มากสุด 4 สมัย เท่า สิงคโปร์ ด้วย
ส่วนเงินอัดฉีด ถ้า ไทย คว้าแชมป์จะได้รวม 25 ล้านบาท แบ่งเป็นจาก เงินรางวัลจากฝ่ายจัดการแข่งขัน 6.4 ล้านบาท, บจก.โหลทอง โฮลดิ้ง 7 ล้านบาท และจากสมาคมฟุตบอลฯที่สมทบให้ (รวมเงินสะสมจากรอบแรกและในรอบรองชนะเลิศ) 11.6 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี