ร็อดเจอร์ส ควรถูกปลดจากตำแหน่งตั้งแต่เกมแพ้ สโต๊ค 1-6 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาทำให้ทีมมีสถิติแพ้ยับสุดรอบกว่าครึ่งศตวรรษ
ตั้งแต่ฟุตบอลอังกฤษ ซีซั่น 2015-16 เปิดฉากขึ้นมาได้จนถึงเกมนี้เป็นเกมที่ 8 มีผู้จัดการทีมอยู่ 2 คนที่มีข่าวในเชิงที่ไม่สู้ดีมาโดยตลอด
หนึ่งคือ โชเซ่ มูรินโญ่ สองคือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
คนแรกเป็นสไตล์ที่ติดตัวมาก็คือ 2 ปีแรกจะแรงอย่างใจ แต่ปีถัดไปคือปีแห่งการล่มสลายแทบจะทุกที่ที่เขาไปทำงาน
จนกระทั่งตัวเขาเองยังบอกว่า นี่คือช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในการทำงานเลยก็ว่าได้
มูรินโญ่ แน่นอนว่าถูกตราหน้าว่า ปากไม่ค่อยตรงกับใจ แต่เราลองดูกันดีๆ ว่า หลายสิ่งที่เขาพูดนั้นเกิน 80 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องจริง แม้จะมีกระแนะกระแหนตามสไตล์
มูรินโญ่ กำลังมีปัญหาที่คู่แข่งมองแทคติคของเขาออก และจับจุดหยุดได้ว่า “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ของเขานั้นจะมามุขไหน
เพราะสไตล์การเล่นของ มูรินโญ่ ตอนนี้ถวายใจให้ 4-2-3-1 และ 4-3-3 แบบอ่านได้ง่ายมาก
อย่างไรก็ตาม มันก็แปลกดีว่า อยู่ๆ ทำไมทีมถึงเร่งไม่ขึ้น มันมีปัจจัยอื่นด้วยหรือไม่ ที่ทำให้ทีมเป็นแบบนี้ เพราะ มูรินโญ่ ก็ทำทีมระบบนี้มาแทบจะตลอด
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ก็เช่นกัน
ถูกต้องหรือไม่ที่จะโทษ ร็อดเจอร์ส แต่เพียงผู้เดียวในการที่ทำให้ “หงส์แดง” กลายเป็นทีมดาษ ๆ ธรรมดา พร้อมจะแพ้ได้ทุกทีม ทั้งที่ 2 ปีก่อนเกือบจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก
ขอชำแหละออกเป็น 2 กรณี
1.เรื่องแทคติค
2.ความกดดัน
ถ้าจะกรุณาอย่านำเรื่อง “ความสำเร็จ” และ “ความยิ่งใหญ่” เอามาเจือปนกับการคุมทีมลิเวอร์พูล คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทีมนี้เป็นทีมที่ “ทีมอื่นไม่มี” ในเรื่องของขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีที่ซับซ้อนเกินกว่า ทีมอังกฤษด้วยกันจะอธิบายได้
อีกทั้งความยิ่งใหญ่นี้ทำให้ ลิเวอร์พูล ออกตัวช้ากว่า แมนฯยูไนเต็ด กับ อาร์เซนอล รวมถึงทีมที่ “ไม่มีอะไรเลย” ในยุคก่อนพรีเมียร์ลีกอย่าง เชลซี กับ แมนฯซิตี้ เร่งเครื่องแซงหน้าไปไกลแล้ว
เหตุผลมันมาจากความรักสโมสรของ เดวิด มัวร์ส ที่ไม่แน่ใจว่า จะมีใครมากอบโกยหรือมาทุ่มเทให้กับทีมที่เขารักและบูชา จนกระทั่งปล่อยให้ ทอม ฮิคส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ ซึ่งทั้งสองคนขายฝันให้สัญญาทันทีที่ซื้อทีมเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2007 พร้อมประกาศว่า โครงการสร้างสนามใหม่ 210 ล้านปอนด์ จะดำเนินการภายใน 60 วันนับจากนี้!
ถือว่าเป็นการพลาดมหันต์ เพราะสองมะกันเกือบทำทีมล้มละลาย
ลิเวอร์พูล เสียเวลามานานกระทั่งเกือบถูกปรับตกชั้นเพราะเรื่องของสถานะทางการเงิน จนมีกลุ่มเฟนเวย์ สปอร์ต เข้ามาอุ้มเอาไว้ทัน
ไม่มีใครบอกได้ว่า เราจะหนีเสือปะจระเข้หรือไม่ เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ คำพูดที่หวานสนิทแต่มันได้อาบยาพิษเอาไว้แล้วก็มีมามากมาย
เฟนเวย์ เลือก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้ามาทำงาน และให้งบประมาณในการทำทีมเยอะมาก หากใครเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล จะเห็นชัดเลยว่า สโมสรได้ให้งบประมาณมหาศาลในการซื้อนักบอล
ซึ่งตอนนี้ยอดทะลุไปถึง 291,550,000 ปอนด์
แฟนบอลหงส์แดง แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ชัดเจน กับการไม่เอาบอร์ดบริหารสหรัฐ ตั้งแต่ยุค ฮิคส์-ยิลเล็ตต์ จนถึงยุคปัจจุบันคือ เฟนเวย์
แต่ทีมกลับไปไม่ถึงไหน และเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกโจมตีพร้อมกับขับไล่จากวงกว้าง เนื่องจากไม่มั่นใจกับการทำงานของ ร็อดเจอร์ส อีกต่อไป
สิ่งหนึ่งที่แฟนบอลหลายคนอาจจะรับไม่ได้นั่นก็คือ ระบบการเล่น ที่ไม่มีความชัดเจน และเหมือนมีแต่ตัวไม่มีหัวใจ
“ระบบการเล่น” เรื่องนี้ ร็อดเจอร์ส ได้ทำร้ายและทำลายความเชื่อมั่นมันลงไปตั้งแต่ 19 เมษายนที่ผ่านมา เมื่อเขาเปลี่ยนสูตรการเล่นเหมือนคนบ้ากว่า 5 แผนในเกมเดียว จนแพ้ แอสตัน วิลล่า 1-2
พร้อมกับทำเหมือนกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด สัญลักษณ์ของสโมสร เป็นของเล่น
สลับให้ยืนเป็นหน้าต่ำ แล้วให้ยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกคู่ ขยับมาให้เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง ต่อด้วยถอยเป็นมิดฟิลด์ตัวเปิดเกม
เหมือนกับทำให้เห็นว่า เจอร์ราร์ด ลงเล่นในระบบของเขาไม่ได้
ความมั่นใจในตัวของ ร็อดเจอร์ส ถูกโยนทิ้งถังขยะไปตั้งแต่การแพ้ “ช่างปั้นหม้อ” สโต๊ค ซิตี้ 1-6 ในนัดปิดซีซั่นที่แล้ว
เสียงแฟนบอลสโต๊คตะโกน “Sack Morning” กระหึ่มขึ้นก่อน ตามด้วยเดอะ ค็อป ตะโกนตามหลังจากทีมโดนนำห่าง 0-5 ซึ่งตรงนี้เป็นพยานได้
วางหมากให้ทีมเล่นอย่างเร่งรีบ จนกลายเป็นลนลาน เสียท่าให้กับ เชลซี และมูรินโญ่ รวมถึงเกมกับ พาเลซ จนพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก
อยู่ในสนามในเกมนั้น ได้ยินเสียงผ่านความเจ็บปวดเต็มสองหู
ไม่มีอะไรจะต้องมาพิสูจน์อีกที่เขาเป็นผู้แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ สวนทางกับสิ่งที่แฟนบอลต้องการอย่างสิ้นเชิง
แม้กระทั่งการคาดเดาตัวผู้เล่น การคาดเดาระบบการเล่น เราไม่สามารถคาดเดาอะไรจากเค้าได้เลย
แม้กระทั่งการคาดเดาอนาคต
ส่วนในเรื่องของ “ความกดดัน” นาทีนี้ทุกอย่างได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนหมดแล้ว
ร็อดเจอร์ส ได้แสดงออกผ่านทางผลงานว่า เขารับไม่ได้กับสถานการณ์ดังกล่าว มันแสดงให้เห็นมาอย่างชัดเจนในสองซีซั่นหลังสุด
กรุณาเก็บความ “เห็นใจ” เอาไว้ในลิ้นชัก เพราะงานก็คืองาน!
ซีซั่น 2013-14 ชัดเจนนั่นคือเกมกับ เชลซี ที่แพ้ 0-2 และ เสมอกับ คริสตัล พาเลซ 3-3 พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแบบเจ็บปวดไม่รู้ลืม
ไม่จำเป็นต้องไปเร่งรีบ และลนลานกับสถานการณ์ขนาดนั้น
เปลี่ยนระบบทีมมั่วซั่วตลอดเกม จนทำให้ทีมแพ้ แอสตัน วิลล่า 1-2 อดชิงเอฟเอ คัพ ในเกมที่คู่แข่งไม่มีอะไรเลย แต่หงส์แดงกลับไม่มีอะไรกว่า
ซีซั่น 2014-15 ชัดเจนนั่นคือเกมเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ กับ แอสตัน วิลล่า ที่เปลี่ยนแทคติค อย่างที่เขียนไปในข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความลนลานขาดความสมดุลในการเป็นกุนซือ
จริงอยู่ใครมาคุมทีมที่ต้องการจะยึดแชมป์อย่างเดียวแบบแทบไม่ได้ดูสถานการณ์ตัวเองอย่าง ลิเวอร์พูล ย่อมตกอยู่ในความกดดันเป็นทุนเดิมที่สาหัสอยู่แล้ว
แต่สำหรับกรณีของ ร็อดเจอร์ส ชัดเจนเลยว่า เขาไม่เหมาะในการคุมทีมลิเวอร์พูล โดยชอบธรรม
เขาทำให้เกิดปรากฏการณ์ครั้งแรกที่แฟนบอลตัวเอง อยากจะให้ทีมแพ้ เพื่อให้เขาไปพ้นๆ ทีมซะที
ดังนั้นไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ ที่กูดิสัน พาร์ค ผลจะออกมาชนะ เสมอ หรือว่าแพ้
มันถึงเวลาจำเป็นที่จะต้อง“เปลี่ยนแปลง” อีกครั้ง เพราะต่อให้จากนี้คว้าชัยชนะติดๆ กันอีก 10 นัด แล้วกลับมาแพ้อีก 1 เกม
ก็ต้องมาเถียงเรื่องความเหมาะสมในการคุมทีมกันอีกที
จึงไม่ควรเสียเวลาและความรู้สึกดีๆ กันอีกแล้ว.......
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี