ข่าวลือที่ดังที่สุดประจำสัปดาห์เรื่องฟุตบอลก็คือ ลิเวอร์พูล ถูกเทคโอเวอร์
สังคมโลกออนไลน์ในยุคปัจจุบันคือ “คอมเมนท์-แชร์-ไลค์” อย่างรวดเร็ว
ไม่แปลกที่มันจะยังผลให้ “สายมโน”ที่มีมากกว่า “สายกลาง” และ “สายกรอง” จะทำให้เรื่องราวต่างๆ ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วใจยุคโดนใจคนวัยดิจิตอล
เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ!!!
ล่าสุดเรื่องราวของ “การเทคโอเวอร์”ถูกตีโครมโหมกระหน่ำดังจนหลายคน“มโน” ไปไม่รู้จากไหนไปไหน หลังจากมีข่าวกรอบเล็กๆ ที่ไม่มีที่มาที่ไปของ “เดลี่สตาร์” สื่อเมืองผู้ดีตีออกมาว่า “เฟนเวย์” จะขายสโมสรให้กับเศรษฐีดูไบ ด้วยใจความประมาณว่า............
“กลุ่มเฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป มีแผนขายทีมหงส์แดงทันทีที่สโมสรขยายอัฒจันทร์ฝั่งเมน สแตนด์ เสร็จสมบูรณ์ พร้อมกับตั้งราคาเอาไว้ที่ 650 ล้านปอนด์หรือ 32,500 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังระบุด้วยว่า การเจรจากับเศรษฐีจากตะวันออกกลางนั้นคืบหน้าไปมากหลังได้รับความสนใจเทคโอเวอร์สโมสรนับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ย้ายมาคุมทีมซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นของถิ่นแอนฟิลด์ขยับสูงขึ้นเป็นลำดับ”
สไตล์การเขียนข่าวลักษณะแบบนี้ของสื่อจากเมืองอังกฤษ มีบ่อยมาก และหลายคนมักจะ “เข้าร่องแข้ง” สื่อเหล่านี้
จริงอยู่ว่า “ไม่มีมูล หมาไม่ขี้” แต่น่าสนใจก็คือ ทำไมเดี๋ยวนี้การก๊อบปี้ข่าวมันเกิดขึ้นทุกภาษา ข่าวแบบนี้หากมีมูลจริงๆ รับรองว่าจะต้องถูกขยายความต่อเนื่อง แต่หนนี้เงียบสนิท
...อันที่จริงการเจรจากับกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งกลุ่มนี้คือ ดูไบ อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล หรือ DIC ซึ่งเมื่อก่อนชื่อว่า “ดูไบ โฮลดิ้ง” ที่นำโดย มูฮัมหมัด บินรอชิด อัล มัคตูม
ทอม ฮิคส์-จอร์จ ยิลเล็ตต์-ริค แพร์รี่-เดวิด มัวร์ส
ซึ่ง อัล มัคตูม พระองค์เป็นพระโอรสองค์ที่ 3 จากทั้งหมด 4 องค์ของ ชีค รอชิดบิน ซาอิด อัล มัคตูม อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 และรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครดูไบ
โดยกลุ่ม DIC เกือบที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ลิเวอร์พูล ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว หรือปี 2000 ลิเวอร์พูลในยุคของ เดวิด มัวร์ส เจ้าของผู้จงรักภักดีของสโมสร มีข่าวตีโครมโหมกระหน่ำออกมาเมื่อ 22 มิถุนายน ฉลองสหัสวรรษใหม่ เมื่อลิเวอร์พูล ประกาศสร้างสนาม “นิว แอนฟิลด์” ที่สวนสาธารณะสแตนลี่ย์ พาร์ค ด้วยความจุ 60,000 ที่นั่ง
เรียกเสียงฮือฮาจากเดอะ ค็อป ทั่วโลก ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ไม่มีใครอยากย้ายบ้าน เพราะบ้านแห่งนี้อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ปี 1892 แต่บางคนก็ต้องการที่อยู่ใหม่ให้มันใหญ่กว่าเดิม และต้องการความสะดวกสบาย
กระทั่ง 7 มีนาคม 2001 มีข่าวว่าลิเวอร์พูล อาจจะย้ายสนามไปที่ “สปิค”อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้จากซิตี้ เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ จอร์จ แฮร์ริสัน และเซอร์พอล แม็คคาร์ทนี่ย์ แห่งวงเดอะบีทเทิ่ลส์ หรือ 4 เต่าทอง โดยจะสร้างสนามได้ถึง 75,000 ที่นั่ง
อันนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะแฟนบอลไม่ยอม ซึ่งกรณีนี้คล้ายกับแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ที่ไม่ต้องการย้ายจากกูดิสัน พาร์ค ไปอยู่ที่ เคิร์กบี้
17 พฤษภาคม 2002 มีการประกาศว่า สนามแห่งใหม่นี้จะสร้างขึ้นที่สแตนลี่ย์ พาร์ค ด้วยทุนการสร้าง 70 ล้านปอนด์ จุคนได้ 55,000 คน แต่จากนั้น 8 มีนาคม 2003 สโมสรออกมายืนยันเองว่า จะสร้าง 60,000 ที่นั่ง ราคา 80 ล้านปอนด์
เหตุการณ์สร้างสนามใหม่เงียบไป 2 ปี กระทั่ง 8 มีนาคม 2005 The North West Development Agency (NWDA) บริษัทเอเจนซี่ดัง มีข้อเสนอให้ทั้ง ลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ใช้สนามร่วมกัน
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ปฏิเสธ
15 กันยายน 2006 สโมสรเสนอเรื่องการทำสัญญาเช่าพื้นที่สแตนลี่ย์พาร์ค 999 ปี โดยจะจ่ายค่าเช่าปีละ300,000 ปอนด์ ซึ่งสภาเมืองลิเวอร์พูลได้อนุมัติสัญญาเช่า 999 ปีดังกล่าว พร้อมให้ลิเวอร์พูล ได้รับอนุญาตให้สร้างสนามแห่งใหม่ได้ทันที
เมื่อทุกอย่าง “ไม่จบสักที” ทำให้ มัวร์ส ตัดสินใจคิดขายทีม เพราะเขา “ไม่สามารถ” ทำฝันนี้ได้
ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น มีการเดินหน้าเรื่อง “ผู้ถือหุ้นใหม่” ของลิเวอร์พูลอย่างต่อเนื่อง และเกี่ยวดองหนองยุ่งกับคนไทยโดยตรง เมื่อปี 2004
มัวร์ส คิดจะขายหุ้นให้กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ข่าวเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนพฤษภาคม ด้วยวงเงินอยู่ที่ 60 ล้านปอนด์
สนามแอนฟิลด์ไม่ได้ย้าย แต่ได้ปรับปรุงใหม่เพิ่มที่นั่งรวมกว่า 1 หมื่นที่ ในยุคของ “เฟนเวย์”
ตอนนั้นจะมีการระดมทุน ด้วยการขายสลากหรือ “หวยหงส์” เพื่อให้คนไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถือ “หุ้นหงส์” เพราะต้องการวางแนวคิดจะใช้ลิเวอร์พูลเป็นแบรนด์เพื่อประชาสัมพันธ์ไทย
แต่ไม่สำเร็จ
ซึ่งก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะมีเอี่ยวเรื่องเทคโอเวอร์นี้เพียงเดือนเดียว สตีฟ มอร์แกน เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ «เรดโรว» ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ยื่นข้อเสนอเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านปอนด์ เพื่อช่วยในการก่อสร้างสนามใหม่ แต่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนหุ้นในมือที่เพิ่มขึ้น พร้อมตำแหน่งในบอร์ดบริหาร
แต่เป็นเพราะการขัดแย้งส่วนตัวระหว่าง มัวร์ส กับ มอร์แกน ทำให้ดีลนี้ตกไป
จากนั้น ตัวละครเกิดขึ้นอย่างมากมาย
โรเบิร์ต «บ็อบ» คราฟต์ เจ้าของทีม“นักรบกู้ชาติ” นิวอิงแลนด์ เพทริออตส์, ฆวน บียาร์ลองก้า เจ้าพ่อสื่อสารมวลชนสเปน และกลุ่มนักธุรกิจจากนอร์เวย์ คือชื่อที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
กระทั่งเกมมหัศจรรย์ หงส์ครองเจ้ายุโรป สมัยที่ 5 ที่อิสตันบูล ริค แพร์รี่ ประธานบริหารของลิเวอร์พูล พบกับ ซามีร์ อัล อันซารี่ ซีอีโอของ DIC ด้วยความบังเอิญ ทำให้ได้รู้จักกันและติดต่อกันตลอด
ก่อนที่ DIC จะติดต่อการซื้อสโมสรอย่างเป็นทางการเดือนธันวาคม ปี 2006
ระหว่างนั้นตัวแทนของ DIC ก็มาที่แอนฟิลด์บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่สะเทือนความรู้สึก และสะกิดให้ทั้งมัวร์ส และแพร์รี่ เริ่มไม่แน่ใจก็คือ เอกสารลับที่มีชื่อว่า Project Oslo หรือ โปรเจกท์ออสโล
เรื่องนี้มีการตีแผ่ไปยังสื่ออังกฤษนั่นคือ บีบีซี และเดลี่ เทเลกราฟ เนื่องจากมีการระบุเอาไว้ว่า DIC มีแผนที่จะถอนทุนคืนจาก ลิเวอร์พูล ในระยะเวลา 7 ปี
ขณะที่ DIC เรื่องมีข่าวเชิงลบ ก็มี ทอม ฮิคส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ สองเศรษฐีอเมริกา เข้ามาเจรจาอยากจะซื้อทีม
กระทั่งสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือDIC ถูกทาง มัวร์ส กับ แพร์รี่ บีบให้ตอบเกี่ยวกับเรื่องเอกสาร ก่อนจะได้รับคำตอบว่า เอกสารนั้นก็แค่ข้อมูลการลงทุน และไม่มีทางจะขายทีมในระยะเวลาสั้นๆ แบบนั้นแน่
สุดท้ายแล้วถึงจุดแตกหัก การเจรจาไม่ลงตัว เมื่อ DIC ยื่นข้อเสนอให้ มัวร์ส ตอบมาว่าจะ “ขายหรือไม่ขาย” ภายในระยะเวลาเพียง 6 ชั่วโมง
ซึ่งบอร์ดบริหารลิเวอร์พูลทุกคนยืนยันว่า ทีมไม่ควรจะถูกกดดันถึงขนาดนี้ การเอาเงินมาฟาดแบบนี้คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
แต่ยังไม่ทันที่จะมีการตอบรับหรือว่าปฏิเสธ DIC ก็ถอนตัวออกไปเอง
ซึ่งเรื่องนี้ แพร์รี่ เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งเมื่อปี 2011 ว่า ที่จริงแล้ว คือตัวเลือกแรกของสโมสรในขณะนั้น แต่น่าเสียดายที่พวกเขากลับถอนตัวออกไปเอง
ทำให้สุดท้ายแล้ว ทีมอยู่ในสภาวะจำเป็นที่จะต้องรับข้อเสนอจาก ฮิคส์ และยิลเล็ตต์
กระทั่งเป็นที่มาของคำว่า “ปลิงมะกัน”ในเวลาต่อมา
..........นี่คือเรื่องราวของหน้าประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นระหว่าง DICกับ ลิเวอร์พูล
ดังนั้นบอกกันไม่ได้เหมือนกันว่า เมื่อเจ้าของทีมรวย แล้วทีมจะรวยตาม เพราะคนรวยก็อย่างที่เห็น หลายคนเข้าห้องน้ำยังต้องเอากรรไกรเข้าไปตัดขี้ตัวเอง
มันเหนียวเป็นบ้า
ครั้นว่า จะเอาคนจากชาติเดียวกันมาเป็นมาตรฐานในการวัดว่า ใครดีใครเลวก็คงจะไม่ได้ เพราะประสบการณ์เดิมมันชัดแล้ว อาทิ ตระกูลเกลเซอร์ จากสหรัฐ ทำไปทำมาไม่มีแฟนแมนยูฯ คนไหนบ่นเลย ผิดกับ ฮิคส์ กับ ยิลเล็ตต์ ก็สหรัฐเหมือนกัน กลายเป็น “ปลิงมะกัน” ไปซะฉิบ
หรืออย่าง “นักลงทุน” จากแดนเศรษฐีน้ำมัน เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถึงจะรวยล้นฟ้าเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลกอย่าง อัล มัคตูม จะกล้าจ่ายเหมือนกับที่ ชีค มานซูร์ จ่ายให้กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี้ หรือเปล่า
ไม่ใช่ว่าแอนตี้ ถ้าได้มามันก็คงดี แต่ทุกวันนี้หากใครมีโอกาสได้ไปแอนฟิลด์ ก็จะได้เห็นการเจริญเติบโตของสโมสรที่ผิดไปแบบ “หน้าคนเป็นหน้าแมว” ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ในยุคของ “เฟนเวย์”
ดังนั้นก็นั่นแหละ มันเหมือนกับชีวิตจริงว่า “อย่าไปหวังอะไรลมๆ แล้งๆกับคนรวย”
และจงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี