คดีประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการฟุตบอลสิ้นสุดลงแล้ว
นั่นคือสิ่งที่ญาติและดวงวิญญาณของแฟนฟุตบอลที่เสียชีวิตทั้ง 96 คน ต้องอดทนรอนานถึง 27 ปี จากโศกนาฏกรรมที่สนามฮิลล์สโบโร่
ตอนนี้ทุกอย่าง...จบแล้ว!
การสอบสวนเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 1989 จนมีแฟนบอลของ “หงส์แดง” เสียชีวิตไปทั้งหมด 96 คนนั้น
ได้บทสรุปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคณะลูกขุนมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันอังคารที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า เหยื่อทั้งหมดเสียชีวิตโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นผู้บริสุทธิ์ และเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายจนกลายเป็นความเศร้าดังกล่าว
บันทึกพาทุกท่านกลับไปกับเหตุการณ์วันนั้น เกมผ่านไปแค่ 6 นาที เกมต้องยุติลงเนื่องจากมีแฟนบอลแออัดยัดทะนานกันเข้ามาในสนาม
ผมนั่งดูการถ่ายทอดสดเกมคู่นี้อยู่ และเชื่อว่า “สวิตชิ่ง” ที่ควบคุมการถ่ายทอดสดน่าจะอึ้งไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เห็นภาพแฟนบอลเหมือนกับจะตกอัฒจันทร์ต่อจากนั้นอีกเกือบนาที
สุดท้ายมีแฟนบอลเสียชีวิตถึง 96 คน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากความต้องการดูเกมคู่นี้สูงมาก แต่ตั๋วบอลไม่พอ แฟนบอลกระจุกกันที่หน้าสนามทั้งคนที่มีและไม่มีตั๋ว บวกกับทางเข้าที่คับแคบตำรวจและการ์ดควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ กระทั่งการ์ด “คิดผิด” อย่างแรง
เมื่อเปิดประตู “เกต C” ที่ไม่มีการเช็คตั๋วให้แฟนบอลเข้าสู่สนาม
ทางเข้าจากประตูดังกล่าวทำให้แฟนบอลมุ่งหน้าสู่ล็อก 3-4 ที่มีความจุได้เพียง 1,600 ที่นั่ง แต่กลับมีคนเข้าอัดกันรวม 3,000 คน และมีรั้วกั้นอยู่ขอบสนาม ทำให้แฟนบอลหายใจไม่ออกเสียชีวิตคาที่ และบางรายเหยียบกันเสียชีวิต
94 คนเสียชีวิตทันทีที่สนาม, อีก 4 วันต่อมาแฟนบอลวัย 14 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาล, อีก 4 ปีต่อมา อีกหนึ่งแฟนบอลที่นอนอาการโคม่าเสียชีวิตมีนาคม 1993 รวม 96 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย และบาดเจ็บถึง 766 คน
แต่คดีดังกล่าวกลับถูกปิดเงียบอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่กังขาว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเหตุการณ์นี้ ที่ไม่เคยได้รับการดูแลจากรัฐบาลอังกฤษเลย ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคของ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์
ประเด็นนี้แหละที่ทำให้เกิดเรื่องระหว่างแฟนบอลลิเวอร์พูล กับ แธตเชอร์ และหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน
โศกนาฏกรรมหนนั้น แธตเชอร์ มีท่าทีที่เชื่อมั่น และให้การสนับสนุนข้อมูลจากตำรวจเซาท์ ยอร์กเชียร์ ซึ่งตำรวจท้องที่ ได้โจมตีว่า แฟนบอลลิเวอร์พูล คือต้นเหตุของเหตุการณ์ครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้น
ด้วยถ้อยคำที่แฟนบอลรับไม่ได้ทั้งการดื่มสุราเมาอย่างหนัก, การปัสสาวะรดศพ, หลายคนติดคดีออาชญากร แม้กระทั่งมีการบอกว่า มีการข่มขืนศพด้วยซ้ำ!
ร้ายยิ่งกว่าก็คือ ดอกเตอร์สเตฟาน ป๊อปเปอร์ แพทย์ผู้รับหน้าที่ชันสูตรศพ ให้การว่า เขาสั่งให้หยุดการค้นหาแฟนบอลผู้รอดชีวิตในเวลา 15.15 น. เพราะคิดว่าคงไม่มีใครรอดชีวิต แต่พอมีการมาสืบอย่างจริงจัง ก็ได้พบความจริงว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มีแฟนบอล 31 ราย ที่ชีพจรและตับยังไม่หยุดทำงาน
รัฐบาลของ แธตเชอร์ ปิดคดีทั้งหมด แต่แฟนบอลหงส์ไม่ยอมและต่อสู้มายาวนาน กระทั่งเดือนตุลาคม 2012
ทุกอย่างถูกเปิดขึ้นและทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายถูกต้องหนแรกในรอบ 23 ปี
ซึ่งเกมปลดปล่อยดวงวิญญาณ 96 คน ตรงกับเกมแดงเดือด โดย เดวิด คาเมร่อน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กลายเป็นนายกรัฐมนตรี อังกฤษคนแรกที่กล่าวขอโทษกลางสภาในเรื่องนี้
อันเนื่องมาจากข้อมูลในยุคของ แธตเชอร์ ไม่ตรงกับความเป็นจริงเยอะมาก รวมถึงไม่ยอมค้นหาความเป็นจริง
ส่งผลให้แฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่ชอบแธตเชอร์ อย่างหนัก
ยิ่งมารวมกับการที่เคยมีเหตุการณ์จลาจลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1981 ก็เพราะนโยบายที่อาจจะบอกได้ว่า “ไม่เอาลิเวอร์พูล” ของ แธตเชอร์
ซึ่งเธอเลือกที่จะพัฒนาเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ และเบอร์มิงแฮม
อย่างไรก็ดี หลังเหตุการณ์นี้ “หญิงเหล็ก” ผู้นี้ยืนหยัดต่อสู้ในเรื่องของฟุตบอลมากมาย โดยเฉพาะสองประเด็นที่เป็นบรรทัดฐานมาจนถึงทุกวันนี้
ประเด็นแรกคือ การยืนหยัดต่อสู้กับฮูลิแกนในสนามฟุตบอล แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และปราบได้เกือบจะทั้งหมด
ประเด็นสองคือ ประกาศให้เน้นในเรื่องความปลอดภัยของผู้ชมในสนาม จนเป็นที่มาของการปรับอัฒจันทร์ยืนมาเป็นที่นั่งทั้งหมดในเวลาต่อมา
แต่ ลิเวอร์พูล ต้องสูญเสียบุคคลผู้คุมบังเหียนทีมอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช ที่ตัดสินใจอำลาตำแหน่งเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 1991 หลังจบเกมการคุมทัพเสมอกับเอฟเวอร์ตัน 4-4 ในศึกเอฟเอ คัพนัดรีเพลย์ เพียง 2 วัน
แรกทีเดียว มีข่าวว่า ดัลกลิช แบกรับความกดดันไม่ไหว หรือทิ้งทีมไปในช่วงที่ทีมกำลังอยู่ในช่วงโรยรา
สุดท้ายข้อมูลเชิงลึกต่างๆ เปิดขึ้นมาว่า ดัลกลิช ต้องแบกรับความกดดันต่างๆ จากเหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่ ทั้งการปรึกษากับครอบครัวผู้สูญเสีย ครอบครัวผู้บาดเจ็บ ต้องไปงานศพบางครั้ง 4 งานภายในวันเดียว
การต่อกรกับหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน ที่ไม่ยอมลงข่าวขอโทษ ทั้งที่ “คิง เคนนี่” ได้โทร.ไปคุยกับ เคลวิน แม็คเคนซี่ บรรณาธิการในตอนนั้น และแน่นอนที่สุด เคนนี่ ก็ต้องแบกความหวังของแฟนบอลเดอะค็อปทั้งโลก เพราะต้องคุมทีมลงแข่งขัน
มันส่งผลเสียหายจนถึงทุกวันนี้ในเรื่องของความสำเร็จในสนามฟุตบอล
…สุดท้ายเมื่อปี 2012 ความจริงได้ปรากฏ
มีการเปิดเอกสารกว่า 450,000 หน้าที่รวบรวมมาจาก 80 ภาคองค์กรรวมถึงรัฐบาล,ตำรวจ,หน่วยพยาบาลฉุกเฉิน,สภาเมืองเชฟฟิลด์และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพจากเซาท์ ยอร์กเชียร์
รายงานสรุปเหตุการณ์กว่า 400 หน้าที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน เมื่อวันพุธที่ 12 กันยายน 2012
โดยใจความสำคัญอยู่ที่หน้า 394
ข้อความระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมือง ได้โยนความผิดให้กับ 96 ผู้เสียชีวิต ว่าเป็นตัวการของเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ เดวิด คาเมร่อน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ออกมาแถลงการณ์ขอโทษต่อเหตุการณ์ดังกล่าวทันที
“จากน้ำหนักของหลักฐานชิ้นใหม่ที่รายงานมา วันนี้ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องแสดงความขอโทษต่อครอบครัวของ
ผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 96 คน กับสิ่งที่พวกเขาต้องเจอมาตลอด 23 ปี ที่ผ่านมา ในส่วนของรัฐบาล และประเทศของเรา ผมต้องขอโทษกับความอยุติธรรม ที่ให้เราได้รับรู้ข้อมูลที่ผิดๆ มาโดยตลอด”
นั่นคือแถลงการณ์ขอโทษครั้งแรกที่เกิดขึ้นสำหรับรัฐบาลอังกฤษ
ขณะที่จอมแสบอย่าง “เดอะ ซัน” ได้ออกมากล่าวขอโทษ อย่างเป็นทางการลงบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันที่ 13 กันยายน 2012
โดยระบุว่า รายงานเรื่องโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโร่ เป็นวันที่มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์ของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่มีอะไรสามารถแก้ตัวต่อการเสนอข่าวหน้าหนึ่งของเดอะ ซัน ภายใต้หัวข่าวที่ว่า “The Truth” มันไม่ตรงไปตรงมา,หยาบช้าเป็นอย่างยิ่งและน่ารังเกียจอย่างที่สุด เรื่องราวนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด”
ใช่ครับหยาบช้ามาก
แต่งานหยาบกว่าคือล่าสุด พวกเขาไม่ได้ตีข่าวลงหน้า 1 เหมือนเล่มอื่นแต่อย่างใด
มั่นใจได้เลยว่า ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่วันนั้น แต่มันคือตลอดไป
จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีการประชุมจนมีมติแห่งชาติว่า จะต้องยกเลิกการยืนเชียร์ฟุตบอล และปรับเป็นที่นั่งทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของแฟนฟุตบอล
โดย “หงส์แดง” ต้นเรื่อง ยุติอัฒจันทร์ยืนเชียร์เมื่อ 30 เมษายน 1994 เพื่อทุบฝั่ง “ค็อป สแตนด์” ให้เป็น “ที่นั่ง” ทั้งหมด เป็นเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์นับร้อยปี บัดนั้นจนบัดนี้และตลอดกาล………..
พร้อมกับเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันตาย...ตลอดไป
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี