บันทึกแห่งวงการกีฬาโลก และวงการลูกหนังว่า ซีซั่น 2015-16
“จิ้งจอกมหาภัย” เลสเตอร์ ซิตี้ ครองแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้แบบยิ่งกว่าปาฏิหาริย์!!!
น่าสนใจว่า คนที่นั่นมีความเชื่ออีกหนึ่งอย่างที่ไม่ธรรมดายิ่ง
เหตุผลหักล้างก็มีให้เห็นกับปริศนาการเป็นแชมป์อีกหนึ่งข้อหนนี้...............
ปริศนาเรื่องนี้เกิดขึ้น เราย้อนไปไม่นานเมื่อ 4 ปีก่อน ปี ค.ศ.2012 มีการค้นพบกระดูกบริเวณ “กะโหลก” หรือ “พระเศียร” ของ กษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 หรือ คิง ริชาร์ด ที่ 3 (Richard III of England)
ซึ่งทีมสำรวจโครงกระดูกโบราณ ได้มีการขุดพบในลานจอดรถแห่งหนึ่งของเมืองเลสเตอร์ ที่พระองค์สิ้นพระชนม์ที่นี่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ.1485 นับเวลาตอนนั้นคือ 527 ปี เลยทีเดียว
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ถึงแม้ว่าจะเป็นชื่อเสียงในด้าน
ร้ายๆ อย่างความเหี้ยมโหดและการปกครองอันกดขี่และนองเลือดก็ตาม
พระองค์เป็นกษัตริย์ในช่วง ค.ศ. 1483-1485 ก่อนจะสิ้นพระชนม์ในสนามรบ ในยุทธการสงครามกับราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ที่บอสเวิร์ธฟิลด์(Battleof Bosworth Field) ซึ่งเป็น “สงครามดอกกุหลาบ” หรือสงครามชิงบัลลังก์ครั้งสุดท้ายของอังกฤษ และสิ้นสุดยุคกลางบัดเดี๋ยวนั้น
ซึ่ง พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ยอร์กและราชวงศ์แพลนทาเจเนต และยังเป็นกษัตริย์อังกฤษองค์สุดท้าย ที่สวรรคตในสมรภูมิการรบในประเทศตัวเอง
ตำนานมีอยู่ว่า คิง ริชาร์ดที่ 3 กำลังพุ่งเข้าแทง เฮนรี่ ทิวดอร์ แต่ก็ถูกทหารชาวเวลส์นายหนึ่งใช้ง้าวฟันเข้าที่พระเศียร จากนั้นพระศพที่เปลือยเปล่าถูกบรรทุกบนหลังม้ากลับมาที่เมืองเลสเตอร์และให้สาธารณชนได้เป็นประจักษ์พยานการสิ้นพระชนม์ ก่อนที่จะนำไปฝังที่โบสถ์นักบวชที่เรียกว่า เกรย์ไฟร์อาร์ส (Greyfriars)โดยไม่ปรากฏว่ามีพระราชพิธีศพอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
เมื่อพระศพไม่ได้ถูกทำพิธีเหมือนบรรพกษัตริย์ แถมยังถูกฝังเอาไว้รวมกับนักรบ และทหาร พร้อมกับมีความเชื่อว่า หลุมฝังศพได้ถูกทำลายในช่วงสงครามปฏิรูปทางศาสนาอีกด้วย
จากวันนั้นเป็นต้นมากว่า 500 ปีไม่มีใครค้นหาท่านเจออีกเลย กระทั่ง
............
ภายหลังการตรวจพบกะโหลกของพระองค์ ได้มีการนำไปทดสอบทางเคมีหลายขั้นตอน เพื่อตรวจ DNA ซึ่งผลตรวจออกมาพบว่า ไปสอดคล้องกับ DNA ของราชวงศ์อังกฤษ เมื่อนำมาตรวจกับบุคคลที่สืบเชื้อสายคือ มิเชลล์ อิบเซน ชาวแคนาดาผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหญิงแอนแห่งยอร์ก ซึ่งเป็นพระขนิษฐาแท้ๆ ของคิง ริชาร์ดที่ 3 นั่นเอง
จนนำกระดูกท่านมาทำพิธีตามศาสนา และตั้งอนุสาวรีย์ที่เมืองเมื่อต้นปีที่แล้ว
คนที่นั่นเชื่อว่า การกลับมาของท่านทำให้เกิดปรากฏการณ์ของทีม ทั้งการรอดตกชั้นแบบปาฏิหาริย์เมื่อปีก่อน และเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยแรก นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร 132 ปี
คือปาฏิหาริย์ซ้อนปาฏิหาริย์ และยิ่งกว่าคำว่า “ปาฏิหาริย์”!!!!
สำหรับการขึ้นครองราชย์ของ คิง ริชาร์ด ที่ 3 อาจจะไม่สวยงามนักตามประวัติที่ว่าง พระองค์ได้เข่นฆ่าหลานแท้ๆของตัวเองเพื่อขึ้นครองบัลลังก์
เหตุจาก พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 สวรรคต แน่นอนว่า เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ที่ 5 วัย 13 ปี กำลังจะเข้าพิธีราชาภิเษก แต่ตอนนั้น ริชาร์ด ดยุคแห่งกลอสเตอร์ ที่เป็นพระปิตุลา ทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและได้พาเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และเจ้าชายอีกพระองค์ วัย 11 ปี มาที่ “หอยคอยลอนดอน” หรือ ทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอน อันลือลั่นนั่นเอง
ปรากฏว่า ท้ายที่สุด คนที่ได้นั่งบัลลังก์กลับเป็น ริชาร์ด ดยุคแห่งกลอสเตอร์ ขึ้นครองราชย์เป็น “คิง ริชาร์ดที่ 3” ที่สำคัญเจ้าชายทั้งสองตอนนั้น ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่จากนั้นก็หายไปอย่างเป็นปริศนา จนกระทั่งมาพบกะโหลกของเด็กสองหัว คาดว่าจะเป็นเจ้าชายน้อยทั้งสอง ในอีกเกือบ 100 ปีต่อมา
ณ ที่แห่งนั้น Tower of London
สถานที่เดียวกับเรื่องที่เกี่ยวดองกับ “แอนน์ โบลีน” ราชินีที่ 2 แห่งพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “โบลีน กราวนด์” ของ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งจะเขียนให้อ่านในสัปดาห์หน้า
สุดท้ายจะอะไรก็แล้วแต่ เลสเตอร์ ก็ประกอบไปด้วย 3 คิง
1.คิง เพาเวอร์
2.แอนดี้ คิง
3.คิง ริชาร์ด ที่ 3
และไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอล, ผู้จัดการทีม, เจ้าของทีม, การบริหารทีม, คู่แข่ง, แฟนบอล, ผ้ายันต์ หรือการกลับมาอีกครั้งของกษัตริย์ของพวกเขา
ทุกอย่างคือส่วนประกอบให้ เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี