ไม่ว่าจะยุค พ.ศ.ใด ฟุตบอลคู่ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “ปีศาจแดง”แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
คือปรากฏการณ์ของฟุตบอล
แม้ว่าในปัจจุบันทั้งสองทีมจะไม่ได้“ลุ้นแชมป์” แต่กระแสของคู่นี้ก็ถูกตีโครมโหมกระหน่ำได้ตลอด ไม่เว้นกระทั่งแมทช์วันเสาร์ที่ผ่านมา หลายคนบอกว่า คือนัดชิง
ที่ 2 หรือว่าชิงรองแชมป์
มันอาจจะฟังแล้วแปลกๆ คันหูไม่รู้เป็นอะไร แต่คู่นี้ยังไงก็ยังน่าสนใจอยู่ดี
เกมแรกที่ทั้งคู่มาฟัดกันในพรีเมียร์ลีก คือเกมที่ถิ่นผีปี 1992-93 ที่ใส่กันมันส์หยด แม้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นต่างกันมาก เพราะ ยูไนเต็ด ยกระดับมาลุ้นแชมป์ แต่หงส์แดง ดำดิ่งถึงขีดสุดในการฉลอง 100 ปี ด้วยการหนีตกชั้น ยุคของ แกรม ซูเนสส์
“หงส์แดง” ทะยานนำก่อน 2 เม็ดจากการยิงของ “ไอ้หนุ่มเพจโฟน” ดอน ฮัทชิสัน และเอียน รัช ที่ยิงลูกแรกในรังผี แถมยังเป็นประตูทำลายสถิติตลอดกาลของทีมที่ โรเจอร์ ฮันท์ ทำไว้ 286 ลูก เมื่อ 23 ปีก่อนหน้าปีนั้น
แต่ “ผีแดง” มาเร่งเครื่องพังสองประตูรวดจาก มาร์ค ฮิวจ์ส ตีเสมอได้สำเร็จแบ่งแต้มกันดุเดือด อ้อ…เกมนั้นหงส์แดงเปิดตัวกองหลังทีมชาติเดนมาร์กชุดแชมป์ยูโร 92 ที่ชื่อ ทอร์เบน พีชนิค สุดท้ายเขาคือผลงานชิ้นโบดำที่สุดอีกชิ้นที่ ซูเนสส์ ซื้อมาเสริมทัพ
ถ้าย้อนกลับไปของการเจอกันครั้งแรก ต้องโน่นเลย วันที่ 12 ตุลาคม 1895 เมื่อ 122 ปีที่แล้ว
คู่นี้มีความสำคัญกันไปมามากมาย และต้องย้อนกลับไปในสมัยที่ยังไม่มีการล่าอาณานิคมทางเชิงลูกหนังด้วยซ้ำ
เมืองลิเวอร์พูล กับเมืองแมนเชสเตอร์ ที่อยู่ตรงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รับการบันทึกแรกจากโลกใบนี้
พวกเขาคือสองเมืองแรกที่มี “รถไฟ” เชื่อมต่อระหว่างเมือง
15 กันยายน 1830 คือ “วันเปิดราง” อย่างเป็นทางการ ผู้คนสองเมืองนี้ชื่นมื่นกับคำว่า First inter-city railway in the world !!!.
ด้วยระยะทางรวมทั้งสิ้น 35 ไมล์ หรือ 56 กิโลเมตร เท่ากับระยะทางที่ห่างกันของสองเมืองนี้พอดิบพอดี
ในช่วงเวลาดังกล่าว กระทั่งจนถึงปลายศตวรรษที่ 18 ลิเวอร์พูล ได้เจริญเติบโตเป็นท่าเรือที่สำคัญ
ไม่เพียงแต่ในอังกฤษ แต่กลายเป็นเมืองท่าระดับโลก
เนื่องมาจากการค้าขายทางเรือมากกว่า 40% ของโลกใบนี้ต้องมาเทียบท่าที่เมอร์ซี่ย์ไซด์
ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ก็เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งแรก และใหญ่โตที่สุดของโลก ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ อุตสาหกรรมทอฝ้าย ที่เป็นกลไกลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอังกฤษ และสหราชอาณาจักร
ยังผลให้สองเมืองนี้มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและความสำเร็จของโรงงานฝ้ายทั้งภูมิภาคทางตอนเหนือของอังกฤษ
ไม่แปลกที่จะถูกขนานนามให้เป็น เป็นเมืองสำคัญแห่งที่สอง หรือเมืองหลวงที่สองของจักรวรรดิอังกฤษ เพราะการเชื่อมโยงระหว่างสองเมืองนี้ แข็งแกร่งอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่จะต้องขนของมายังเมืองแมนเชสเตอร์ อาทิ ฝ้ายดิบ ก็ต้องมาพักที่ลิเวอร์พูล ทั้งทางรถไฟ และทางเรือ ทำให้มีการเสียภาษีต่างๆ มากมาย บวกกับแรงกระเพื่อมที่เพิ่มขึ้น
ความต้องการชิงเป็นหมายเลข 1 ของย่านนี้
แน่นอนว่า ไม่มีเบอร์หนึ่งถึงสองคน ก็ย่อมมีเบอร์หนึ่งได้แค่เมืองเดียว!
ในที่สุด เมืองแมนเชสเตอร์ ได้มีแคมเปญการรณรงค์ขอการสนับสนุนไปยังคนในเมือง ในเรื่อง “ขอขุดคลองแห่งใหม่” เพื่อเชื่อมต่อจากทะเลไอริช เข้าสู่แมนเชสเตอร์โดยตรง เพื่อทดแทน คลองบริดจ์วอเตอร์ ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1776 รวมไปถึงคลองที่เชื่อมผ่านแม่น้ำเมอร์ซี่ย์มายังแมนเชสเตอร์
แผนการนี้สำเร็จ ทำให้เกิดการขุดลอกคลองที่ชื่อ “คลองเดินเรือแมนเชสเตอร์” หรือ The Manchester Ship Canal ซึ่งเปิดให้ใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1894
เหตุการณ์นี้เกิดผลกระทบเต็มๆ กับ ลิเวอร์พูล ที่ต้อง “ล่มปากอ่าว” ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีตรงนี้ ทำให้ต้องเสียรายได้อย่างมหาศาล พร้อมกับคนต้องตกงานแทบจะกลายเป็นเมืองร้างในเวลา
ต่อมา
เรื่องนี้นี่แหละที่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เป็นการก่อกำเนิดการจงเกลียดจงชังกันอย่างรุนแรงของสองเมืองนี้
น่าแปลกที่เชิงลูกหนัง ทั้งสองทีมก็ต่อกรชิงดีชิงเด่นในเรื่องความสำเร็จกันมาโดยตลอด และกลายเป็นสองทีมที่มีแฟนฟุตบอลคลั่งไคล้ไปทั่วโลก
ทั้งการยึดแชมป์รายการต่างๆ มากมาย และมีช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ที่ยาวนานเหมือนกัน แถมยังคงเป็นเกมที่ทั่วโลกให้การรอคอยทุกครั้งที่ลงสนาม เป็นอาทิ
จากเดิมคือ First inter-city railway in the world กลายมาเป็นคู่ปะทะดาร์บี้แมทช์แห่งประเทศ มากกว่าฉายา North-West Derby
แน่นอนว่า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร ทุกแมทช์ที่มีการพบกัน มีค่ามีความสำคัญยิ่งกว่าผลการแข่งขัน
มันคือเกียรติและศักดิ์ศรีที่ค้ำคอกันอยู่นานนับร้อยปี เพราะแพ้ใครแพ้ได้
แต่แพ้ให้กับคู่ปรับตลอดกาลไม่ได้ แต่......................
แต่ถ้าย้อนกลับไปศตวรรษที่แล้ว วันที่ 2 เมษายน 1915 เกมระหว่าง แมนฯยูไนเต็ด กับลิเวอร์พูล ในลีกสูงสุดมีความหมายอย่างยิ่งยวด เมื่อ แมนยูฯ สถานการณ์ย่ำแย่กำลังหนีตกชั้น ขณะที่ ลิเวอร์พูล ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่ได้ลุ้นแชมป์และไม่หนีตกชั้น เพราะอยู่กลางตารางแบบชิลๆ
เกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นักเตะบางส่วนของทั้งสองทีม ได้ทำการตกลงที่จะ “ล็อกผล” ให้แมนยูฯ เป็นฝ่ายชนะ เพื่อประโยชน์ที่ได้รับคือการ “อยู่รอด” รวมถึงเรื่องของ “การพนัน”
ผลจบลงด้วยชัยชนะของ แมนยูฯ 2-0 จากการเหมายิงของ จอร์จ แอนเดอร์สัน ในนาทีที่ 40 กับ 75 แต่เกมจบทุกอย่างมันไม่ได้จบไปตามเกม
มร.เจจีเอ ชาร์ป ผู้ตัดสินเกมนั้น มีรายงานไปยัง สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) หลังเกมว่า นักเตะลิเวอร์พูล ดูแปลกๆ ไม่ตั้งใจเล่น แถมยังมีการยิงจุดโทษไม่เข้าอีกต่างหาก
จุดโทษดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 48 บ็อบ พูร์เซลล์ ของลิเวอร์พูล ทำฟาวล์แต่ แพท โอดอนเนลล์ ของแมนยูฯ ยิงไปติดเซฟของ อิลิชา สก็อตต์ นายประตูหงส์แดง
ขณะเดียวกัน บริษัทรับพนันถูกต้องตามกฎหมายของอังกฤษ มีสิ่งผิดปกติก็คือ มีคนทำนายผลว่า “แมนยูฯชนะ 2-0” แบบผิดสังเกต จึงเรียกนักเตะจากเกมนี้มาสอบสวน
สุดท้ายเมื่อวันที่ 27 ธันวาคมปีเดียวกัน ได้มีการตัดสินคดีนี้ หลังพบว่า นักเตะของแมนฯยูไนเต็ด เป็นคนวางแผนการทั้งหมด ทำให้มีการแบนนักเตะทั้งหมด 7 คน ออกจากวงการลูกหนังตลอดชีพ
แซนดี้ เทิร์นบูลล์, อาร์เธอร์ วอลเลย์ และเอนอช เวสต์ ของแมนฯยูไนเต็ด ส่วนฟากฝั่งหงส์แดงคือ แจ๊คกี้ เชลดอน, ทอม มิลเลอร์, บ็อบ พูร์เซลล์ และโธมัส แฟร์ฟาวล์
นักบอลบางคนที่อยู่ในทีมก็ไม่ทราบเรื่องนี้ก็เยอะ
โดยเฉพาะ บิลลี่ เมเรดิธ กองหน้าคนสำคัญของทีมก็บอกว่า มันแปลกตรงที่ว่าทำไม ไม่มีใครส่งบอลให้ผมเลย(วะ)
ต่อมา แซนดี้ เทิร์นบูลล์ เสียชีวิตระหว่างไปรับใช้ชาติในสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขณะที่อีก 5 คน ในนั้นพ้นแบนเพราะไปร่วมรบในสงครามโลก
ส่งผลให้ เอนอช เวสต์ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไปรบ โดนลงโทษตลอดชีวิต ก่อนจะได้รับการยกโทษในอีก 30 ปีต่อมา ซึ่ง เวสต์ ก็มีอายุ 59 ปีเข้าให้แล้ว
นั่นคือเหตุการณ์สะท้านโลกที่เค้าเรียกกันว่า The 1915 Good Friday betting scandal
ประเด็นก็คือในซีซั่นนั้น 1914-15 แมนฯยูไนเต็ด ก็ไม่ได้รอดตกชั้นเพราะทำอันดับได้ที่ 18 แต่เนื่องจากติดสงครามโลก ทำให้ลีกหยุดแข่งไปจนกระทั่งกลับมาอีกครั้งในปี 1919-1920 มีการกลับมาเตะกันใหม่
แมนฯยูไนเต็ด รอดตายเพราะลีกมีการเพิ่มทีม
มีบันทึกอีกด้วยว่า ตัวตั้งตัวตีให้มีการ “เพิ่มทีม” ก็คือ แมนฯยูไนเต็ด อันดับ 18 จากลีกล่าสุด และเชลซี ที่ได้อันดับ 19 จากปี 1915 นั่นเอง
.......มาจนถึงวันนี้ทั้งสองทีมยังเป็นสโมสรฟุตบอลที่แฟนบอลเหนียวแน่น และบางทีก็แค้นกันเกินฝีมือ แต่เหตุการณ์ปัจจุบันก็คือ ทั้งสองเมืองทำธุรกิจร่วมกันต่อเนื่อง โดยเฉพาะการล่องเรือผ่านเส้นทางประวัติศาสตร์ “คลองแมนเชสเตอร์” นี่แหละ
เรียกว่า ย้อนศรความแค้น เอามาทำมาหากินในยุคปัจจุบันกันนี่เลย
ฟุตบอลก็ต้องเตะกันไป ซัดกันไปกระอักเลือดกันไปข้าง แต่ในทางกลับกัน ท้องมันก็หิว ลูกแก้วเมียขวัญก็ต้องกินน้ำกินขนมปังกินข้าว
บางอย่างก็มองข้ามๆ กันเพื่อความอยู่รอดกันทุกฝ่าย
นี่คือแดงเดือดนอกสนามสำหรับ ค.ศ.นี้โดยแท้............
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี