ปาร์ม่า โชว์ฟอร์มคัมแบ๊กขึ้นชั้นอีกครั้ง หลังจากตกไปเล่นดิวิชั่น 4 เมื่อ 3 ปีก่อน
ทีมดังแห่งแดนมะกะโรนี อิตาลี “จัลโล่บลู” ปาร์ม่า คืนชีพกลับมาเล่นในศึกฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ได้สำเร็จแล้ว
พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการลูกหนังได้อีกด้วย!!!
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน ปาร์ม่า ล้มละลายไปอย่างเหลือเชื่อ โดยไร้ซึ่งคนเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรและจัดการเรื่องเงินภายในทีม ทำให้ทีมตกชั้นไปเล่นในระดับกัลโช่ เซเรีย ดี หรือดิวิชั่น 4 ของอิตาลี เมื่อปี 2015
สโมสรถูกศาลสั่งให้ล้มละลาย เพราะหนี้สินกว่า 100 ล้านยูโร หรือราว 3,500 ล้านบาท แต่หนี้สินระยะยาวทั้งหมดทะลุไปถึง 218 ล้านยูโร ทั้งที่สโมสรมีทุนจดทะเบียนเพียง 20 ล้านยูโร หรือไม่ถึง 700 ล้านบาทเท่านั้น
(บน) ปาร์ม่า ชุดขึ้นชั้นครั้งแรก เมื่อต้นทศวรรษที่ 90 (ล่าง) ทีมชุดครองใจคนทั้งโลก แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 1999
ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายทุกกรณี ไม่มีเงินจ้างการ์ดสนาม, ไม่มีเงินจ้างพนักงาน แม้กระทั่งนักบอลยังต้องไปรถส่วนตัวเพื่อลงเล่นให้ทีม!
จากการตัดสินของศาลครั้งนั้น ทำให้ ปาร์ม่า ต้องไปเริ่มต้นในอีกสองดิวิชั่นที่ต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งก็คือกัลโช่ เซเรีย ดี หรือดิวิชั่น 4 ตามกฎที่เรียกว่า Lodo Petrucci แทนที่จะต้องตั้งทีมใหม่และไปเริ่มต้นใน Terza Categoria หรือดิวิชั่น 9 ของลีกอิตาเลียน ซึ่งเป็นดิวิชันต่ำที่สุด
พวกเขาเปลี่ยนชื่อสโมสรจากเดิม “ปาร์ม่า เอซี” หรือ Parma Associazione Calcio มาเป็น “ปาร์ม่า กัลโช่ 1913” หรือ S.S.D. Parma Calcio 1913 เปิดทางให้นักเตะทุกคนกลายเป็นฟรีเอเย่นต์ที่มีอิสระในการย้ายทีมได้ในทันที
ก่อนจะคืนชีพด้วยการเลื่อนชั้น 3 ครั้งใน 3 ฤดูกาล กลับมาสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอิตาลี ที่สร้างผลงานเลื่อนชั้นได้ 3 ปีซ้อนๆ
ในเกมนัดที่ 42 ส่งท้ายฤดูกาล พวกเขาบุกไปชนะ สเปเซีย 2-0 ขณะที่ โฟรซิโนเน่ ทำได้เพียงเสมอ ฟอจจา 2-2 ในบ้านตัวเอง
ทำให้ทั้ง ปาร์ม่า และโฟรซิโนเน่ มีทีมละ 72 คะแนนเท่ากัน แต่ปาร์ม่า มีผลงาน “เฮดทูเฮด” หรือเจอกันแบบเกมต่อเกมที่ดีกว่า นั่นคือ โฟรซิโนเน่ ชนะในบ้าน 2-1 แต่ ปาร์ม่าชนะในบ้าน 2-0 ทำให้ ปาร์ม่า ได้รองแชมป์ คว้าโควตาเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติทีมสุดท้าย ต่อจากแชมป์ปีนี้คือ เอ็มโปลี
การลงไปท่องยุทธจักรดิวิชั่น 4 หรือ Serie D/D ในซีซั่น 2015-16 ปาร์ม่า คว้าแชมป์ไปครองด้วยการทำสถิติไร้พ่ายจากการลงเตะ 38 นัด และชนะได้ถึง 28 เกม
จากนั้นในซีซั่น 2016-17 พวกเขาคว้าตำแหน่งรองแชมป์ในระดับดิวิชั่น 3 หรือ Lega Pro/B ลงเตะ 38 นัด ชนะ 20 เสมอ 10 แพ้ 8 เกม ได้เลื่อนชั้นอีกครั้งสู่เซเรีย บี
ก่อนจะตีตั๋วขึ้นชั้นแบบประทับใจแฟนฟุตบอล และเป็นสถิติอย่างที่ว่ากันไป
ที่สำคัญ อเลสซานโดร ลูคาเรลลี่ ปราการหลังกัปตันทีมที่ไม่ยอมย้ายไปไหน ตั้งแต่ทีมตกชั้น แบกวัย 40 ปีพาทีมขึ้นชั้นมาอีกด้วย!!!!
ถามว่า ทำไม??? แฟนฟุตบอลถึงยังรักและคิดถึงสโมสรแห่งนี้ แม้จะไม่เคยเป็นแชมป์เซเรีย อา ก็ตามที
นั่นเป็นเพราะว่า การเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดของอิตาลี ในปี 1990-91 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีม พวกเขาสร้างชื่อในเวทียุโรปในยุคการเปลี่ยนถ่ายเลือดของวงการฟุตบอลยุโรปพอดี
ทีมนี้มีกุนซือฝีมือทองอย่าง เนวิโอ สกาล่า, คาร์โล อันเชล็อตติ และอัลแบร์โต้ มาเลซานี่ มาพร้อมกับขุมกำลังนักเตะที่น่าสนใจในทุกๆ รุ่น
ยุคแรกของการขึ้นชั้น สกาล่า ทำทีมตั้งแต่ปี 1989 ขึ้นชั้นมา ปีเดียวก็ได้แชมป์โคปา อิตาเลีย ต่อด้วยคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์สคัพ ในปี 1993 และเบิ้ลแชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ ตามด้วย แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 1995 และอยู่กับทีมนานถึงปี 1996
นักเตะค่อยๆ เติมโตขึ้นมา เริ่มจากยุคของ จานฟรังโก้ โซล่า, ลูก้า บุชชี่, อันโตนิโอ เบนาร์ริโว่, เฟร์นานโด เคาโต้, เนสเตอร์ เซนซินี่, ดิโน่ บาจโจ้, ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า และลอเรนโซ่ มิน็อตติ
ต่อด้วยยุคของ โทมัส โบรลิน, ลุยจิ ปอลโลนี่, จอร์จ กรุน
อันเชล็อตติ มาทำงาน 2 ซีซั่น 1996-98 อาจไม่ได้แชมป์ แต่เป็นยุคเริ่มต้นของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, เอ็นริโก้ เคียซ่า และลิลิยง ตูราม, เซ มาเรีย, เอร์นาน เครสโป เป็นต้น
ก่อนที่ อัลแบร์โต้ มาเลซานี่ มารับงานต่อและคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ทันทีนั่นคือ ยูฟ่า คัพ กับ โคปา อิตาเลีย ในปี 1999
ตอนนั้นถือเป็นยุค “สุดแกร่ง” และกวักมือเรียกแฟนบอลจากทั่วโลก เพราะตอนนั้นภาพที่ออกไปในสายตาชาวโลก คือชุด 11 ตัวจริงที่ถูกมองว่า “ของจริง”
ประตู คือ บุฟฟ่อน, กองหลังมี ตูราม, เซนซินี่, คันนาวาโร่ ขยับมาแดนกลาง ฮวน เซบาสเตียน เวรอน, อแลง โบโกซิยง, ดิโน่ บาจโจ้, ดีเอโก้ ฟูแซร์, เปาโล วาโนลี่ และมี เครสโป กับ เคียซ่า
ก่อนจะเกิดปัญหาเปลี่ยนกุนซือ 3 คนในปีเดียวเมื่อต้นยุคมิลเลนเนี่ยม แต่ในท้ายที่สุด ปี 2002 ที่เปลี่ยนโค้ชไปมาพวกเขาก็ยังได้แชมป์โคปา อิตาเลีย จากการคุมทัพของ ปิเอโต คาร์มิญานี่ ในยุคที่มี อแลง โบโกซิยง, โยอัน มิกูด์, ฮาคาน ซูเคอร์ และฮิเดโตชิ นากาตะ เป็นตัวชูโรง
ทั้งหมดคือตำนานของ ปาร์ม่า ที่พลิกฟ้ามาให้โลกรู้จัก ลักษณะคล้ายๆ กับทีมของ ไบรอัน คลัฟ ที่ปลุกปั้นผลักดัน “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ขึ้นชั้นมาแล้วผงาดบนเวทียุโรป
นาทีนี้ ปาร์ม่า กลับมาอีกครั้ง ด้วยความหวังครั้งใหม่
หวังเช่นกันว่า บทจบจะไม่เหมือนเมื่อ 3 ปีก่อนอีกต่อไป!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี