เป็นการโคจรมาเจอกันอีกครั้งของ อังกฤษ กับ เบลเยี่ยม
ที่สุดความทรงจำคงไม่พ้นการหมุนตัวยิงของ เดวิด แพล็ท ที่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ในบอลโลก 1990 รอบ 2 แต่ที่แน่ ๆ มันคือประตูที่ช้าที่สุดในฟุตบอลโลก
พร้อมกับส่งให้ อังกฤษ พิชิตชัย 1-0 เข้าไปทำผลงานอันดับ 4 ดีสุดนับตั้งแต่เป็นแชมป์โลก 1966 เป็นต้นมา
ขณะที่สองทีมไม้กระดับร่วมกลุ่มอย่าง ปานามา กับ ตูนีเซีย หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือสะดุดขาตัวเอง
ก็ไม่น่าพลาดสำหรับสองทีมดังแห่งยุโรป
เบลเยี่ยม
“เบลเยี่ยม”ในวันที่ผู้นำคือเครื่องหมายคำถาม
เบลเยี่ยม คือหนึ่งในชาติแรก ๆ ที่มีสมาคมฟุตบอลเป็นของตัวเอง และมีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 26 ตุลาคม 1863 โดยกลุ่มนักเรียนไอริช
ฉายา “ปีศาจแดง” เริ่มต้นจากการเรียกของนักข่าวชาวดัทช์ ตั้งแต่ปี 1905 ในเกมระห่าง เนเธอร์แลนด์ กับ เบลเยี่ยม กระทั่งถูกเรียกอย่างเป็นทางการโดย ปีแอร์ แวลค์เคียร์ส กุนซือของทีมเลียวโพลด์ เอฟซี ที่เรียกแทนทีมว่า “เร้ด เดวิลล์”
ซึ่งในปี 2000 เนเธอร์แลนด์ กับ เบลเยี่ยม ก็ร่วมมือกันจัดฟุตบอลยูโร ในแบบเจ้าภาพร่วมกัน
เบลเยี่ยม ถือเป็นทีมที่ร่วมก่อตั้ง และลงเล่นฟุตบอลโลกตั้งแต่ครั้งแรก แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน กระทั่งต้องรอถึงยุค 80 ถือว่าเป็น”ยุคทอง”ของพวกเขาอย่างแท้จริง เมื่อได้รองแชมป์ยูโร 1980 และได้อันดับ 4 บอลโลก 1986
ทีมนั้นแฟนบอลยังจดจำการเซฟของ ฌอง มารี-พัฟฟ์ จอมหนึบจากบาเยิร์น มิวนิค, เอริค เกเร็ตส์ แบ๊คตัวแกร่งของพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น รวมถึงคู่หัวหอก แยน คูเลมองส์ กับ เออร์วิน ฟานเดนเบิร์ก และการก้าวขึ้นมาเป็นจอมทัพหนุ่มของ เอ็นโซ่ ชีโฟ่ บนวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น
พวกเขามาเจอกับ มาราโดน่า และอาร์เจนติน่า เลยยุติเส้นทางที่รอบตัดเชือก
จากนั้น เบลเยี่ยม ก็ไม่สามารถทำได้แบบนั้นอีกเลย แถมยังหลุดฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 2002 จนกระทั่งกลับมาอีกทีคือปี 2014 ที่หลายคนไปมองว่าพวกเขาเป็นทีมเต็ง
สุดท้ายตกรอบ 8 ทีม
นี่เป็นอีกครั้งที่ เบลเยี่ยม ถูกจับตามองว่า น่าจะทำผลงานได้ดีอีกครั้ง เมื่อมี เควิน เดอ บรอยน์ ที่ยกระดับฝีเท้ากำลังเข้าขั้นเวิลด์คลาส ดูดีกว่าการเล่นวูบๆวาบ ๆ ของ เอแด็ง อาซาร์ และโรเมลู ลูกาคู ที่ไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอเท่าไหร่นัก
ที่สำคัญการมีกุนซืออย่าง โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ ทำให้เกิดคำถามขึ้นอย่างมากมาย เขาเลือกตัด รัดญ่า นาอิงโกลัน ออกไปจากทีม และสุดท้ายหนีบผู้เล่นที่ฝีเท้าป่วย ๆ อย่าง อั๊ดนาน ยานาไซ ติดอยู่ในทีม
รอบแรกอาจไม่มีผล แต่รอบต่อไป...ตัวใครตัวมัน!!!
ปานามา
“ปานามา”ฝันไกลแล้วก็ไปถึง
นี่คืออีกหนึ่งทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้เป็นสมัยแรก
ถือว่าพลิกความหมายถึงขีดสุด
ฮวน คาร์ลอส บาเรลา โรดริเกซ ประธานาธิบดีประเทศปานามา ประกาศให้วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2017 เป็นวันหยุด หลังจากทีมชาติปานามา สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก ได้สำเร็จ เป็นสมัยแรก
ทีมชาติปานามา เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ ทีมชาติคอสตาริก้า ได้สำเร็จ 2-1 ทำให้ได้ตั๋วไปฟุตบอลโลก เป็นทีมอันดับที่ 3 ของโซนคอนคาเคฟ จากผลงานดังกล่าวทำให้ประชาชนได้ออกมาฉลองกันทั้งประเทศ ทำให้ ประธานาธิบดี ประกาศคืนความสุขให้ประชาชน ด้วยการฉลองกันให้เละกันไปข้าง
"เสียงไชโยโห่ร้องของประชาชนที่เปี่ยมไปด้วยความสุข นี่คือการเฉลิมฉลองที่พิเศษที่สุด ซึ่งรัฐบาลขอประกาศให้วันพุธนี้เป็นวันหยุดของประเทศ เราจะได้เฉลิมฉลองไปด้วยกัน" แกกล่าว
แน่นอนเป็นความสุขที่สัมผัสได้ กับการทะลุเข้าสู่รอบสุดท้ายที่เป็นยิ่งกว่าความฝัน
กุนซือทีมนี้คือ เอร์นาน ดาริโอ โกเมซ อดีตมือขวาของ ฟรานซิสโก้ มาตูราน่า ในการลุยบอลโลก กับ โคลอมเบีย 2 สมัย และเข้ารับงานต่อ แต่คดีทำร้ายร่างกายทำให้เขาต้องระเห็จจากทีม และมาเริ่มใหม่กับ ปานามา
ขณะที่ผู้เล่นคนสำคัญคือ โรมัน ตอร์เรส ปราการหลังกัปตันทีมที่ถูกเปรียบเทียบความแกร่งให้เป็น “มนุษย์โคมันยอง” ผู้พังประตูชัยพาทีมเข้ารอบ ด้วยเรือนร่างประดุจยักษ์ปักหลั่น 188 เซ็นติเมตร บนวัย 32 ปี แต่ฟิตเปรี๊ยะ
อีกคนคือ กาเบรียล ตอร์เรส หัวหอกร่างชะลูด ที่ชีวิตเกือบเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะ 11 ปีก่อนเขาได้รับความสนใจจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ก็พลาดการเซ็นสัญญาไปน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม ทีมนี้มาถึงวันนี้ไม่มีอะไรต้องเสียดาย ไม่มีอะไรต้องเสียหาย
จากนี้ไปมีแต่”กำไร”อย่างเดียว!
ตูนีเซีย
“ตูนีเซีย”สู้ตายไม่ใช่แค่ไม้ประดับ
หลังจากหายหน้าหายตาไป 2 สมัย ในที่สุด “อินทรีขาวแห่งคาร์เทจ” สามารถตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อีกครา และเป็นสมัยที่ 5
หลังจากฟุตบอลโลกยุคแรก พวกเขายังอยู่ในการปกครองของฝรั่งเศส กระทั่งได้เข้าร่วมรอบคัดเลือกครั้งแรก เมื่อปี 1958 แต่รออีก 20 ปีต่อมาถึงได้ตีตั๋วรอบสุดท้าย หนแรกเมื่อปี 1978
อย่างไรก็ตาม การผ่านเข้ารอบของพวกเขา 4 สมัยไม่เคยผ่านรอบแรกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่พวกเขาโชคร้ายเมื่อไร้เงา ยูซุฟ เอ็มซัคนี่ ที่บาดเจ็บหัวเข่าอย่างรุนแรง จนชวดมาเล่นรอบสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อบาดเจ็บระหว่างการลงเล่นสโมสรต้นสังกัด
ทำให้ ซาอิฟ-เอ๊ดดิน คาอุย จอมทัพจาก ทรัวส์ ในฝรั่งเศส ต้องแบกทีมไว้บนบ่า ถือว่า สาหัสเอาการเลยทีเดียว
ที่สำคัญการดวลกับ อังกฤษ นัดเปิดสนาม นับเป็นเรื่องที่น่าจับตามองไม่น้อย เพราะปกติ อังกฤษ ไม่ค่อยชนะใครในนัดเปิดวิก
แต่ในปี 1998 อังกฤษ ก็พิชิต ตูนีเซีย ทีมนี้ 2-0 นี่แหล่ะ!
อังกฤษ
“อังกฤษ”
นี่คือ ขวัญใจมหาชนคนกันเอง
อังกฤษ หรือ เจ้าของดินแดนแผ่นดินแม่แห่งโลกฟุตบอล เจ้าของแชมป์โลกครั้งแรก และครั้งเดียว เมื่อปี 1966 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ
โชคชะตาเล่นตลกหรือว่าฝีเท้าไม่ถึงก็มิอาจทราบได้ เมื่อ อังกฤษ ไม่เคยได้ใกล้เคียงกับความสำเร็จอีกเลย ใกล้เคียงที่สุดก็คือ ปี 1990 ที่อุตส่าห์ผ่านเข้าถึงรอบตัดเชือก แต่ก็มาพลาดพ่ายจุดโทษให้กับคู่ปรับอย่าง เยอรมันตะวันตก
ที่สำคัญ อังกฤษ มักจะทำให้แฟนบอลผิดหวังด้วยการแพ้จากการดวลจุดโทษอย่างต่อเนื่อง จนแฟนบอลมองว่า ไม่ได้แพ้จากใคร แต่พวกเขาแพ้ภัยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่การตกรอบฟุตบอลโลก 2006 ด้วยการแพ้จุดโทษ โปรตุเกส ปรากฏว่า สื่อผู้ดีที่คอยกดดัน และยกยอปอปั้นไปในตัว ก็ไม่ได้ยกย่องพวกเขาอีกสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงเป้าหมายซะที และยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ
จากทีม “ตัวเต็ง” ลดระดับกลายเป็นแค่ “กลุ่มม้ามืด” เท่านั้น
ชุดนี้น่าสนใจในการเลือกตัวของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ดูเหมือนว่า หลายตำแหน่งขัดลูกหูลูกตาเหลือเกิน แต่นั่นก็คือการ”เลือกแล้ว”
ประเด็นก็คือ แผนการเล่นจะไปทางไหน ว่ากันตามเชิงพวกเขาน่าจะออกในรูปแบบ “เซ็นเตอร์แบ๊ค3คน” เป็นโมเดลมาจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีกทีมล่าสุด
แต่คุณภาพนักบอลต่างหากที่จะไปได้ถึงขนาดไหน เพราะไม่ได้แกร่งอะไรมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทคุ้นหูคุ้นตามากกว่า
แฮร์รี่ เคน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจสซี่ ลินการ์ด, ไคล์ วอล์คเกอร์ เป็นอาทิ
อย่าลืมว่า เชียร์อังกฤษต้องเผื่อใจ เพราะพวกเขาชอบเลือกชะตาแห่งความผิดหวัง
เข้าตำรา”เชียร์ได้”....แต่ไว้ใจไม่ได้!!!!
ใครจะตกรอบ
สายออกมาขนาดนี้ ถ้าหากเป็นไปตามล็อค ก็คงไม่พ้น อังกฤษ กับ เบลเยี่ยม ได้กอดคอกันสู่รอบน็อคเอาท์แน่นอน
โดยเฉพาะโปรแกรมการเตะยิ่งเป็นใจให้ทั้งคู่ โคจรมาเจอกันในวันสุดท้าย ยิ่งทำให้น่าจะวางแผนอะไรได้ไม่ยาก
จากนั้นค่อยไปวัดดวงกันในรอบต่อ ๆ ไปว่า จะไปได้ไกลโดนใจแค่ไหน
ข้อมูลที่น่าสนใจ
เบลเยี่ยม
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : 13 สมัย
ผลงานดีที่สุด : อันดับ 4 ปี 1986
สตาร์เด่น : เควิน เดอ บรอยน์
ปานามา
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : สมัยแรก
ผลงานดีที่สุด : -
สตาร์เด่น : โรมัน ตอร์เรส
ตูนีเซีย
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : 5 สมัย
ผลงานดีที่สุด : รอบแรก
สตาร์เด่น : ซาอิฟ-เอ๊ดดิน คาอุย
อังกฤษ
ผ่านเข้ารอบสุดท้าย : 14 สมัย
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก ปี 1966
สตาร์เด่น : แฮร์รี่ เคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี