การแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งที่ 21 ที่ประเทศรัสเซีย เป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน-15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เดินทางมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย 2 เกมแรกในวันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคมนี้ เริ่ม 21.00 น.ระหว่าง ทีมชาติอุรุกวัย พบ ทีมชาติฝรั่งเศส ที่เมืองนิซห์นี่ย์ นอฟโกร๊อด จากนั้นเวลา 01.00 น.ทีมชาติบราซิล พบกับ ทีมชาติเบลเยี่ยม ที่เมืองคาซาน
ความพร้อมสำหรับเกมคืนนี้ เริ่มจากคู่เวลา 21.00 น.ซึ่งเป็นคู่เดียวที่มีการโคจรมาเจอกันของสองทีมแชมป์โลก โดย “จอมโหด” แชมป์โลก 2 สมัย เมื่อปี 1930 และ 1950 เป็นหนึ่งในสองทีมที่ชนะรวดทั้ง 4 เกมที่ลงสนาม แต่มีปัญหาให้ปวดหัวเมื่อ “เอล มาธาดอร์” เอดินสัน คาวานี่ หัวหอกตัวความหวังจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่ซัดไปแล้ว 3 ประตู รวมถึงเหมายิงนำทีมโค่น โปรตุเกส แชมป์ยุโรปในรอบที่แล้ว มีปัญหาอาการบาดเจ็บน่อง ไม่สามารถลงซ้อมกับทีมได้เลยตลอด 4 วันที่ผ่านมา ทำให้ฟิตไม่ทันลงสนามในเกมนี้ค่อนข้างแน่นอนแล้ว
ปัญหาจุดนี้คาดว่า ออสการ์ วอชิงตัน ตาร์บาเรซ กุนซือรุ่นเดอะของทีม จะเลือกผู้เล่นในแผงมิดฟิลด์อัดลงไปอีกคนคือ จอร์เจี้ยน เด อาร์ราสซาเอต้า มากกว่าการส่งกองหน้าอย่าง คริสเตียน สตูอานี่ ลงสนาม ที่เหลือพร้อมลงสนาม โฮเซ่ คีเมเนซ จับคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟกับจอมแกร่งอย่าง ดีเอโก้ โกดิน ขณะที่แผงกลาง ลูคัส ตอร์เรร่า เป็นหัวใจการตัดเกม โดยมี มาตีอัส เวซิโน่ กับ โรดริโก้ เบนตานกูร์ เป็นตัวเปิดบอล ให้กับความหวังของทีมอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ
ฝั่งของ ฝรั่งเศส แชมป์โลก ปี 1998 มีปัญหาจุดเดียวตรงที่ แบลส มาตุยดี้ กองกลางจอมขยันจาก “ม้าลาย” ยูเวนตุส ติดโทษแบน ทำให้ อุสมาน เดมเบเล่ จะได้ลงทำหน้าที่แกนรุกทางฝั่งซ้าย ประสานงานกับ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ตัวสปีดชั้นเยี่ยม และ อองตวน กรีซมันน์ พร้อมกับวาง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เป็นหน้าตัวเป้า ชนกับแนวรับอุรุกวัย
ทั้งนี้การพบกันของทั้งสองทีมถือว่าสูสีกันอย่างมาก อุรุกวัย เหลือกว่าด้วยการชนะ 2 ฝรั่งเศส ชนะ 1 และเสมอกันรวมทั้งหมด 4 เกม ส่วนการเจอกันในบอลโลกทั้งหมด 3 ครั้ง ปรากฏว่า อุรุกวัย ชนะ 2-1 ปี 1966 ก่อนจะเสมอกัน 0-0 ในอีกสองครั้งต่อมาในปี 2002 และ 2010 ส่วนผู้ตัดสินเกมนี้คือ เนสตอร์ พิตาน่า เปากล้ามโตจากอาร์เจนติน่า
สำหรับ 11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนามมีดังนี้ อุรุกวัย :เฟร์นานโด มุสเลร่า - มาร์ติน คาเซเรส, โฮเซ่ คีเมเนซ, ดีเอโก้ โกดิน, ดีเอโก้ ลาซาลท์ - นาอีตาน นานเดซ, ลูคัส ตอร์เรร่า, มาตีอัส เวซิโน่, โรดริโก้ เบนตานกูร์, จอร์เจี้ยน เด อาร์ราสซาเอต้า(คริสเตียน สตูอานี่) และ หลุยส์ ซัวเรซ
ฝรั่งเศส : อูโก้ โยริส - เบนฌาแม็ง ปาวาร์, ราฟาแอล วาราน, ซามูแอล อุมติตี้, ลูกัส แอร์กน็องเดซ - เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ปอล ป็อกบา - คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, อองตวน กรีซมันน์, อุสมาน เดมเบเล่ และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์
จากนั้นในเวลา 01.00 น.”แซมบ้า” แชมป์โลก 5 สมัย และเต็ง 1 ของรายการ ต้องปรับทัพในแดนกลาง เมื่อ กาเซมิโร่ กองกลางตัวตัดเกมติดโทษแบน ทำให้ ติเต้ กุนซือต้องส่ง แฟร์นานดินโญ่ มิดฟิลด์ผึ้งงานจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงมาเล่นตัวรับร่วมกับ เปาลินโญ่ รวมถึงต้องทดสอบความฟิตของ มาร์เซโล่ แบ๊คซ้ายตัวแกร่งที่เดี้ยงจนพลาดการลงเล่นในรอบ 2 คาดว่าน่าจะลงได้ แต่ถ้าไม่พร้อมจริง ๆ เฟลิเป้ ลุยซ์ จะได้ทำหน้าที่ตรงนี้ต่อไปอีกนัด
ในส่วนเกมรุก เนย์มาร์ จูเนียร์ จอมทัพคนสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการพุ่งล้ม และดีดดิ้นจนมีการนับสถิติการนอนบนพื้นสนามของเขาเป็นเวลานานถึง 14 นาที แต่เจ้าตัวยืนยันว่า เขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อทีม และถ้าไม่มีใครเข้าใจก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น เนื่องจากมาที่นี่เพื่อพาทีมประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ เนย์มาร์ จะเดินเครื่องเกมรุกร่วมกับ เฟลิปเป้ คูตินโญ่ และวิลเลี่ยน ส่วนกองหน้า กาเบรียล เฮซุส ที่ฝืดสนิทมาตลอดทัวร์นาเมนท์ ต้องเบียดกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในการยืนหัวหอกตัวจริง
ทางด้านเบลเยี่ยม ที่ชนะทุกนัดที่ลงสนาม รวมถึงเป็นทีมที่พังสกอร์ได้มากที่สุดของบอลโลกหนนี้ 12 ประตู จะลงสนามแบบสมบูรณ์มาก ๆ เนื่องจากไม่มีใครเจ็บหรือว่าติดแบนแต่อย่างใด ประเด็นสำคัญคือตำแหน่งวิงแบ๊คด้านซ้าย ยานนิค การ์ราซโซ่ ต้องเบียดกับ นาเซอร์ ชาดลี่ ส่วนที่เหลือไม่เป็นปัญหา โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แว็งซ็องต์ ก็องปานี และ แยน แฟร์ต็องเก้น เล่นร่วมกันในระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ๊ค ส่วนแนวรุก เควิน เดอ บรอยน์ คอยแจกจ่ายบอลทำเกมร่วมกับ เอแด็น อาซาร์ โดยมี โรเมลู ลูกาคู ที่ซัดไปแล้ว 4 ประตูปักหอก
11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนามมีดังนี้ บราซิล: อลิสซอน เบ๊คเกอร์-ฟ้ากเนอร์, ติอาโก้ ซิลวา, ชูเอา มิรันดา, มาร์เซโล่-เปาลินโญ่, แฟร์นันดินโญ่- วิลเลี่ยน,ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, เนย์มาร์ และ กาเบรียล เฮซุส (โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่)
เบลเยียม : ติโบต์ กูร์กตัวส์ - โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, แยน แฟร์ต็องเก้น - โธมัส เมอนิเย่ร์, เควิน เดอ บรอยน์, อักเซล วิตเซล, ยานนิค การ์ราสโซ่-ดรีส์ เมอร์เท่นส์, เอแด็น อาซาร์ และโรเมลู ลูกาคู โดยมี มิโลราด มาซิซ จากเซอร์เบีย เป็นผู้ตัดสินในเกมนี้
สำหรับสถิติคู่นี้ บราซิล เหนือกว่าด้วยการชนะ 3 เบลเยี่ยม ชนะ 1 ส่วนการเจอกันครั้งล่าสุดก็คือในฟุตบอลโลก 2002 ซึ่ง “แซมบ้า” ชนะไปได้ 2-0
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี