ฝรั่งเศส กลายเป็นทีมแรกที่ตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ได้สำเร็จ ไปล่าแชมป์สมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์
การเข้าชิงสมัยที่ 3 ของพวกเขา และเป็นครั้งแรกในรอบ
12 ปี ถือเป็นการสลัดหลุดคราบไคลในยุคของ “ซิซู” ซีเนดีน ซีดาน ได้สำเร็จแล้ว
ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร
แฟนบอลตั้งคำถามว่า ทีมนี้กับทีมเมื่อปี 1998 ทีมไหนดีกว่ากัน พวกเขาจะเป็นแชมป์ได้หรือไม่ บางคนก็ตอบว่า ปี 2006 ดีกว่า และที่กระฉูดเลยก็ต้องบางคนบอก ปี 1986
สรุปออกมาชัดเจน.....ฟุตบอลมันก็แบบนี้แหล่ะ
ฝรั่งเศส ที่ถูก”มองว่า” และ”ว่ากันว่า”ดีที่สุดในปี 1986 ก็มาตกม้าตายไม่ได้ชิงชนะเลิศ ยิ่งย้อนลึกลงไปก็คือ แท้ที่จริง พวกเขาควรเข้าชิงตั้งแต่ปี 1982 เลยหรือไม่
ยุคนั้นถือเป็น “ยุคทอง” ของกองทัพเลส เบลอส์ ที่สามารถเข้ารอบตัดเชือก 3 รายการสำคัญ นั่นก็คือ บอลโลก 1982 และแพ้จุดโทษให้กับ เยอรมันตะวันตก ต่อด้วยเข้าชิงพร้อมกับได้แชมป์ยูโร 1984 ก่อนจะตัดเชือกปี 1986 ก็มาเจ็บปวดอีกรอบด้วยน้ำมือของ เยอรมันตะวันตก
สิ่งสำคัญก็คือ ทุกคนมองว่าพวกเขาอยู่ในยุคทองและน่าจะทิ้งโอกาสการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกไปแล้ว ทั้งที่มีทีมชั้นดี โดยเฉพาะ “4คิงส์” ในแผงมิดฟิลด์ มิเชล พลาตินี่, อแลง จิแรส, ฌอง ติกาน่า และลูอิส แฟร์กน็องเดซ
สิ่งที่มาตอกย้ำพวกเขาในตอนนั้นก็คือ ความล้มเหลวต่อเนื่องกับ 4 รายการติดที่ทั้งตกรอบแรก และไม่ได้ไปเล่นรอบสุดท้าย เป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่สุด ๆ อีกครั้งในประวัติศาสตร์ลูกหนังตราไก่ กระทั่งในปี 1996 ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา
ตามด้วยการเป็นแชมป์โลก ในปี 1998
ในครั้งนั้น ฝรั่งเศส อุดมไปด้วยนักเตะที่แข็งแกร่งมาก และมีกำลังจากกลุ่มผู้เล่นดาวรุ่งมากมาย แต่ที่มองว่าสำคัญสุด ๆ ก็คือ การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เอ็มเม่ ฌักเกต์ ที่ดำรงตำแหน่งกุนซือ หรือ เซเลคซิยอนเนอร์ ทำงานตรงนี้ได้ดีมาก ๆ
ในเรื่องของการนำหัวใจพวกเขาเป็นหนึ่งเดียว เพราะอย่างที่เราทราบกันดีในเรื่องของประวัติความเป็นมาของ ฝรั่งเศส เป็นสิ่งที่น่าศึกษาเวลาที่เราจะต้อง “รวมชาติ”
ซึ่งการรวมชาติในที่นี้นั่นก็คือ การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรื่องของฟุตบอล
เราจะเห็นได้ว่า นักเตะฝรั่งเศส จะเกิดโน่นบ้าง เกิดที่นี่บ้าน เดิมทีอยู่แอฟริกา หรือมาจากเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ตั้งแต่ยุคของการล่าอาณานิคม
ตรงนี้นำมารวมกันกับความนึกคิด และสติปัญญาที่เรามักจะสังเกตกันได้ว่า “คนฝรั่งเศส” มักจะคิดโน่นนี่นั่นได้ก่อนคนที่อื่น
ไม่อย่างนั้น เราอาจจะไม่มี “ฟุตบอลโลก” และ “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” อย่างในทุกวันนี้
แน่นอนต้องขอบคุณ จูลล์ส ริเมต์ และอองรี เดอโลเนต์ ไปตลอดกาล
ขณะที่ทีมนี้ไม่จำเป็นอะไรต้องไปเปรียบเทียบกับปี 1998 แต่มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกันก็คือ สไตล์ในการเล่น ทิศทางของเกม และสำคัญที่สุดก็คือ เล่นแบบรู้จักตัวเอง
เกมกับ เบลเยี่ยม คือบทพิสูจน์ชั้นดีว่า ฝรั่งเศส ไม่จำเป็นทีมที่จะต้องไปเล่นเกมรุกแหลกลาญ หากว่าเป็นทีมที่เดินเครื่องได้ทุกจังหวะ และมีทีเด็ดในการโจมตีทุกทิศทางในขณะที่ทุกอย่างกำลังเหมือนต้องการจุดเปลี่ยน
เบลเยี่ยม ที่บุกแหลก อาจจะบอกว่าเดินเครื่องรุกเต็มกำลังแบบเป็นบ้าเป็นหลังเลยก็ว่าได้ในครึ่งชั่วโมงแรกของเกม เพื่อต้องการประตูขึ้นนำก่อน และบีบให้ ฝรั่งเศส เร่งเครื่อง แต่ทำไม่ได้สำเร็จ ลงท้ายบอลที่ครบเครื่องกว่าก็ค่อย ๆ กลับเข้าสู่เกม
ตรงนี้ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ เทรนเนอร์เบลเยี่ยม ย่อมรู้ดี
หากคุณไม่ได้ดูบอลเพื่อเอามันอย่างเดียว จะเห็นได้ชัดเวลา เมื่อปล่อยเวลาให้นานขึ้น บอลที่แน่นอนกว่า และในแง่ของคุณภาพนักบอลดีกว่าเริ่มเห็นผล
ยิ่งไปกว่านั้น ต้องชมนักเตะฝรั่งเศส หลายต่อหลายคนที่ทำงานหนักเพื่อทีม
หนึ่งในนั้นคือ ปอล ป็อกบา ที่เคยเป็นนักบอลค่าตัวแพงที่สุดในโลก พร้อมกับกลายเป็นตัวตลกในหลาย ๆ ครั้งของฟุตบอล
ป๊อกบา กับตำแหน่งที่เขาจะต้องมาเล่นเพื่อทีม ในการช่วยสกรีนเกมรับแบบ”ไปกับนักบอล” ไม่เหมือนกับการ “ไล่ล่าไปที่ลูกบอล” ซึ่งเป็นหน้าที่ของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ถือเป็นการทำงานที่ลงตัวมาก
แน่นอนว่า ความคล่องแคล่วของ เอแดน อาซาร์ เล่นงาน ป๊อกบา แบบเลี้ยงผ่านง่าย ๆ ไป 3 ครั้ง ไม่แปลกเพราะ อาซาร์ เล่นเกมนี้ได้ดีมาก อย่างไรก็ดีที่เหลือ ป๊อกบา ทำผลงานได้เกินที่คาดกันไว้
รวมไปถึง ซามูแอล อุมตีตี้ ที่หลุดรั่วแบบเลอะเทะหลายครั้งในบอลโลก ก็เล่นได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้แบ๊คตัวสำรองทั้งคู่ของทีม ที่เป็นตัวจริงตั้งแต่เกมแรก ก็เนื่องเพราะตัวเลือกแรกอย่าง เบนฌาแม็ง เมนดี้ กับ ฌิบริล ซิดิเบ้ ไม่ฟิต กลายเป็นการแจ้งเกิดของ ลูกัส แอร์กน็องเดซ และเบนฌาแม็ง ปาวาร์
ตำแหน่งอื่นคงไม่ต้องกล่าวถึงมาก คุณภาพแสดงให้เห็นมาตลอดอยู่แล้วว่า พวกเขาจัดอยู่ในขั้นที่ว่างใจได้ นำโดย ราฟาเอล วาราน, อูโก้ ยอริส, อองตวน กรีซมันน์ และคีลิยัน เอ็มบัปเป้
จุดเดียวก็คือ อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อ แต่ไม่ถึงกับเรอเหม็นเปรี้ยวของ แบลส มาตุยดี้ ที่โดน อาซาร์ อัดหนักระหว่างเกม ต้องฟิตพอในนัดชิง
เพราะจะทำให้ทีมชุดนี้ แม้จะไม่มีความมหัศจรรย์ของ ซีดาน แต่ก็จะดีกว่ายุคปี 1998
ปีนั้น โลรองต์ บลองค์ ติดโทษแบนลงเล่นนัดชิงไม่ได้ ทำให้ทีมขาดตัวสำคัญในวันตัดสิน แต่ครั้งนี้ถ้า มาตุยดี้ ไม่เป็นไรมาก บวกกับความนิ่งขึ้นเยอะของ ดีดิเยร์ เดส์ชองป์ กุนซือที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม นั่นหมายว่า.........
ฝรั่งเศส น่าสนใจมาก ๆ กับตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 2
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี