อีก 2 สัปดาห์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเปิดซีซั่น
ถือว่าปีนี้ไม่ต้องรอนาน เพราะหยุดจริงๆ ไม่ถึงเดือนจาก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไฟนอลส์ ก็เป็นฟุตบอลโลก หลังจบบอลโลก 5 วัน ก็มีเกมอินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนชิพ 2018 และก็มาถึงพรีเมียร์ลีก
ลีกที่มีทรงอิทธิพลในเรื่องการตลาดมากที่สุด
โดยเฉพาะเรื่องโฆษณาบนหน้าอก
นับตั้งแต่ปี 2010 มีการเจริญเติบโตเรื่องสปอนเซอร์คาดหน้าอกบอลพรีเมียร์ลีก นับจนถึงซีซั่นก่อน 7 ปี เพิ่มขึ้น 181 เปอร์เซ็นต์ มาถึงปีนี้มาแรงกว่า 200 เปอร์เซ็นต์ ไปเป็นที่เรียบร้อย
ถือเป็นธุรกิจที่เติบโตในวงการฟุตบอลมาอย่างยาวนานมากๆ และเป็นเงินที่จุนเจือสโมสรมาตั้งแต่ยังไม่มีพรีเมียร์ลีก อยู่คู่กับบอลอังกฤษมานานถึง 38 ปีแล้ว หรือเมื่อซีซั่น 1979
หากจะพูดถึงเรื่องเสื้อบอล ต้องขยับไปอีกนิดก่อนจะเข้าเรื่องคาดหน้าอก ก็คือ ปี 1973 ธุรกิจฟุตบอลรุกคืบครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์
ฟุตบอลต้องเดินไปพร้อมๆ กับผู้ให้การสนับสนุน ทุกส่วนสัดทั้งในและนอกสนามทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง ธุรกิจนี้เน้นจาก “ผลงาน” และ “แบรนด์” ของสโมสร
ไม่ว่าทีมนั้นอาจจะอยู่ในช่วงที่ดี หรือช่วงที่ไม่ดี ก็ยังมี “สปอนเซอร์” หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ยิ่งถ้าฟอร์มการเล่นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ยิ่งจะทำให้สปอนเซอร์วิ่งเข้ามา เรียกว่า รอรับอย่างเดียว
ในยุคนั้น ที่ฟุตบอลเริ่มจะเป็นเงินเป็นทองนั้น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กำลังตะแคงฟ้า ผงาดสุดๆ ในการคุมทัพของ บิลล์
แชงคลี่ย์ ที่เริ่มประกาศศักดาทั้งในและนอกประเทศ
“อัมโบร” คือเจ้าแรกที่เข้ามาเซ็นสัญญาผลิตชุดแข่งให้กับสโมสร
น้องใหม่ทั้ง 3 ของอังกฤษ ฟูแล่ม-วูล์ฟส์-คาร์ดิฟฟ์ เซ็นสัญญาคาดหน้าอกแพงๆ ทั้งนั้น
เสื้อของนิวคาสเซิ่ล ที่ย้อนยุคไปเมื่อการลุ้นแชมป์ปี 1996
เสื้อชุดที่ 3 ของอาร์เซนอล มาแนวเสื้อเที่ยวสบายๆ
1973 ปีนั้นปีแรกที่มี “คนมาจ่ายเงินทำเสื้อ” หงส์แดงของ แชงคลี่ย์ เดินหน้าคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ที่สนามเวมบลีย์ ด้วยการขยี้ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 3-0 ครองแชมป์เอฟเอ คัพ
สมัยนั้นฟุตบอลเอฟเอ คัพ ทรงอิทธิพลอย่างมาก และมีผู้ชมติดตามการถ่ายทอดสดเยอะมาก ส่งผลให้เสื้อทีมขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า
มาถึงปี 1979 “หงส์แดง” เป็นทีมแรกที่นอกจากจะมี “สปอนเซอร์ทำเสื้อ” แถมยังมี “สปอนเซอร์คาดหน้าอก” เมื่อทำสัญญากับ “ฮิตาชิ” ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติซามูไร เป็นเวลานาน 4 ปี
แต่ข้อแม้ก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการถ่ายทอดสดในยุคนั้น ห้ามใส่เสื้อที่มีคาดหน้าอกลงแข่งขัน
ซึ่งจริงๆ แล้ว ทีมแรกที่เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับสปอนเซอร์คาดหน้าอกคือ “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่ทำสัญญากับ “SAAB” บริษัทรถชื่อดัง แต่ก็ไม่ได้ใส่ลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการ
ดังนั้นบันทึกนี้อันดับ 1 อย่างเป็นทางการ จึงเป็นของ ลิเวอร์พูล ไปโดยปริยาย
มูลค่าที่ได้รับครานั้นคือ 100,000 ปอนด์ ด้วยสัญญา 2 ปี
จากนั้นธุรกิจคาดหน้าอกก็ไหลมาเรื่อยๆ กระทั่ง อาร์เซนอล เป็นทีมที่ 2 ก็เซ็นสัญญากับผลิตภัณฑ์ของ JVC อีกหนึ่งบริษัทของญี่ปุ่น และรับเงินถึง 500,000 ปอนด์
ปีนี้หลายคนอาจจะเห็นว่า บริษัทรับพนันมาคาดอกถึง 9 สโมสร แต่จริงๆ เคยพีคถึง 11 แห่ง ที่เข้ามาภายในฤดูกาลเดียว
อังกฤษ มีบริษัทรับพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ในสไตล์ที่ไม่ใช่ประเภทมือถือสาก ปากถือศีล
ซีซั่นนี้มีถึง 9 สโมสรที่คาดหน้าอกด้วยบริษัทพนัน
อย่างที่เคยเรียนเอาไว้ และใครที่เคยไปอังกฤษ รวมถึงเป็นพวกช่างสังเกตคงทราบดีว่า “ร้านรับพนัน” มีมากกว่า “ร้านสะดวกซื้อ”
ปีนี้ 2 จาก 3 ทีมน้องใหม่ ก็ได้รับการโฆษณาคาดหน้าอกเป็น“เบท” นั่นคือ “หมาป่า” วูล์ฟส์ ปีก่อนคาดหน้าอกคือ The money Shop และใช้พูม่า เปลี่ยนมาเซ็น 4 ปีกับ อาดิดาส พร้อมคาดอกด้วย W88 โดยไม่เปิดเผยรายได้ แต่ใช้คำว่า “Biggest sponsorship deal in club’s history” ถึงปี 2020
โดยเฉลี่ยไม่น่าต่ำกว่า 3 ล้านปอนด์แน่นอน
เช่นเดียวกับ ฟูแล่ม เปลี่ยนการคาดหน้าอกจากเดิม The grosvenorcasinos.com มาเป็น Dafabet
พร้อมกับมีช่องว่างที่น่าสนใจก็คือ เสื้อชุดเด็กจะไม่มีการโฆษณาการพนันแต่อย่างใด
ถือเป็นแนวคิดที่ลงตัวและดีมากๆ
ขณะที่ทีมที่ได้รับเงินระดับท็อป ลิเวอร์พูล รับเงิน 30 ล้านปอนด์ต่อปีกับ สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ธนาคารชื่อดัง โดยได้เท่ากับ อาร์เซนอล ที่รับจากสายการบินเอมิเรตส์
สเปอร์ส กับสนามใหม่ในปีนี้ยังเป็นประกันภัยอย่าง AIA ที่สนับสนุน 35 ล้านปอนด์ เหมือนกับสายการบินเอติฮัด ที่สนับสนุน แมนฯซิตี้
ทีมดังในลอนดอนอย่าง เชลซี ที่แม้จะฟอร์มไม่ดีในปีก่อน แต่มูลค่าที่เซ็นไว้ 40 ล้านปอนด์ต่อปี กับ โยโกฮาม่า ก็ทำให้เดินต่ออย่างสบายๆ ส่วนอันดับ 1 ยังคง แมนยูฯ 47 ล้านปอนด์ กับ เชฟโรเลต
โดยบางแห่งอ้างว่ารับเละถึง 53 ล้านปอนด์ต่อปีเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากพรีเมียร์ลีก เปิดรับให้แต่ละทีมมีโฆษณาที่แขนได้อีกหนึ่งข้างตั้งแต่ปีก่อน ทำให้เงินทองก็ไหลเข้าแต่ละทีมอีก 1 ล้านปอนด์เป็นอย่างน้อย
นั่นคือ โฆษณาที่แต่ละทีมได้รับจากโฆษณาบนเสื้อ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือ “ช่วยมาใส่เสื้อผมหน่อย” นั่นก็คือ แบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาดีลกับแต่ละสโมสร ที่มาการันตีเงิน
รายได้ให้กับแต่ละทีม
ปีนี้ อาดิดาส คว้าแชมป์ไปครอง เมื่อมีถึง 6 ทีมใช้แบรนด์ของพวกเขา ประกอบด้วย แมนยูฯ, วัตฟอร์ด, เลสเตอร์ รวมถึง 3 ทีมน้องใหม่กวาดเรียบ คาร์ดิฟฟ์, ฟูแล่ม และวูล์ฟส์ ที่ย้ายจากพูม่า
ขณะที่ พูม่า เหลืออยู่ 4 ทีม นั่นคือ อาร์เซนอล, เบิร์นลี่ย์, นิวคาสเซิ่ล และได้ คริสตัล พาเลซ มาจากแบรนด์ “มาคร่อน” แต่เสียลูกค้าไปสองเจ้าคือ เลสเตอร์ ไป อาดิดาส กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ไปอัมโบร
ไนกี้ มีทั้งหมด 4 ทีม ไบรท์ตัน, แมนฯซิตี้, เชลซี, สเปอร์ส
อัมโบร 4 ทีมเช่นกัน บอร์นมัธ, เอฟเวอร์ตัน, เวสต์แฮม และฮัดเดอร์สฟิลด์ ลูกค้าใหม่
ส่วน อันเดอร์ อาร์มอร์ 1 ทีม คือ เซาแธมป์ตัน และนิว บาลานซ์ 1 ทีม ลิเวอร์พูล
สัดส่วนก็คือ อาดิดาส 30 เปอร์เซ็นต์, ไนกี้ 20 เปอร์เซ็นต์, พูม่า 20 เปอร์เซ็นต์, อัมโบร 20 เปอร์เซ็นต์, นิว บาลานซ์ กับ อันเดอร์ อาร์มอร์ แบรนด์ละ 5 เปอร์เซ็นต์
ปีก่อนแชมป์ในการขายเสื้อเป็นทีมไหนไปไม่ได้นอกจาก เสื้อเหย้าลิเวอร์พูล ที่ฉลองครบ 125 ปีของสโมสร ที่ขายเกลี้ยงไปตั้งแต่เดือนตุลาคม ก่อนจะต้องผลิตใหม่อีกครั้งจนเกลี้ยงไปทั่วโลก
กลายเป็นของ “แรร์ ไอเท่ม” ไปเป็นที่เรียบร้อย
พร้อมกับเป็นการฟาดกำไรมหาศาลของผู้ผลิต และที่แน่ๆ สโมสรได้รับเงินส่วนแบ่งไปมหาศาลเช่นกัน
ยังผลให้ปัจจุบัน เราจะเห็นเสื้อผ้าของแต่ละทีมเปลี่ยนใหม่ในทุกๆ ปี เมื่อเรียกเงินเข้าสู่สโมสร และเราจะไม่มีวันกลับไปเจออีกแล้ว โดยเฉพาะเสื้อเหย้าที่ใช้ชุดเดิมเกิน 1 ปี
ไม่มี...ไม่มีทาง
แต่จะได้เห็น แต่ละทีมออกเสื้อเหย้า, เสื้อเยือน และเสื้อชุดที่ 3 แถมเสื้อของผู้รักษาประตูสมัยใหม่ ก็ไม่เหมือนเดิมที่ดูเหมือนเทอะทะ หรือมีฟองน้ำ กลายเป็นเสื้อที่มีสีสัน สามารถใส่ไปไหนก็ได้
เสื้อเหย้าของแมนฯยูไนเต็ด ราคาแพงกว่าทุกทีมในปีนี้เกือบ 3 พันบาท
ไม่แปลกที่จะเห็นหลายทีมทำเสื้อประตูออกมาถึง 3 สี
หากใครก็ตามที่บ้าคลั่ง จะต้องตามซื้อเสื้อแท้ของสโมสร เพื่อนำเงินไปซัพพอร์ตทีมในการสร้าง หรือปรับปรุงพื้นที่ของสโมสร, เอาเงินไปซื้อนักเตะใหม่
หนึ่งในนั้นคือเงินจากแฟนบอลที่ซื้อจากของแท้ของสโมสร
แต่ก็จะสาหัสมากๆ เพราะเสื้อแต่ละตัวราคาสูงกว่า 2,5000 บาท ทั้งนั้น หากจะซื้อกันจริงจัง 6 ตัว ราคาทะลุไปถึง 20,000 บาทเลยทีเดียว
ก็ขึ้นอยู่กับแฟนบอลว่าจะต้องการแบบไหน ซื้อเสื้อเหย้า หรือเสื้อเยือน, เสื้อประตู รวมถึงเสื้อซ้อมที่ออกมาดูดเงินแฟนบอลได้ต่อเนื่อง ปีนึงมีไม่ต่ำกว่า 10 แบบ
นี่คือทั้งหมดของธุรกิจพรีเมียร์ลีก
สำหรับคนที่เบี้ยน้อยหอยน้อย อาจจะไม่ไหวเมื่อเจอกับราคาเสื้อแท้ ก็จำเป็นต้องซื้อของ Copy หรือพูดง่ายๆ ว่า เสื้อก๊อบ
เสื้อเกรดจะเกิน 3-4A หรือจะแบบไหนก็ได้ประดามี
ไม่ได้ผิดกติกาแต่อย่างใด
ไม่มีใครมาตัดสินว่า คุณเป็นแฟนพันธุ์แท้เพียงแค่ใส่เสื้อแท้หรือเสื้อเทียมอยู่แล้ว เพราะในยุคที่ผ่านมา การใส่เสื้อบอลแท้หรือเทียม มันอยู่ที่ใจของคนใส่เท่านั้น
อย่างที่มีรายงานจาก CNN ว่า ไทยคือแหล่งผลิตเสื้อก๊อบปี้ หรือประเภทเหมือนกว่าของแท้มายาวนานกว่า 30 ปี
แต่ถึงวันนี้ แม้เรื่องลิขสิทธิ์การไล่ล่าอาจจะไม่รุนแรง และเหมือนกับ “ไม่เอาจริง” แต่หลายๆ สโมสร เริ่มทำเสื้อ “เกรดแฟนบอล” ที่ใกล้เคียงกับชุดแข่งมาขาย และดัมพ์ราคาลงมาตัวละ 700-800 บาท เพื่อให้เข้าถึงแฟนบอลมากขึ้น
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้คุณสามารถสนับสนุนสโมสรที่รักได้อีกแนวนึง
นี่คือตลาดเสื้อฟุตบอลที่ร้อนแรงมากๆ ของวงการฟุตบอลอังกฤษ สร้างรายได้มหาศาลทั้งของแท้และเสื้อที่บางครั้ง “เหมือนกว่าของแท้”
จากลีกที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี