ฟุตบอลมีอะไรที่มากกว่าคำว่า “ชีวิต”
ฟุตบอลถูกยกให้เป็นอีกหนึ่ง”ศาสนา” เพราะมีคนทุ่มเท หลงไหล และศรัทธาแบบโงหัวไม่ขึ้น
ในวงการฟุตบอลตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกคนจะได้เห็นตัวเลข “96” และ “25” ต่อเนื่อง ซึ่งแฟนบอลบางท่านรวมถึงหลาย ๆ ท่าน ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเค้าหมายความกันว่าอะไร
หรือถ้าใจข้อความในเฟซบุ๊คก็จะถามว่า “นี่คืออัลไล”
ตัวเลขแรกคือ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่สนามฮิลล์สโบโร่ และตัวเลขหลังคือ ปีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
15 เมษายน 1989 ฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ คู่บิ๊กแมทช์ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่มี เคนนี่ ดัลกลิช คุมทัพกำลังคั่วดับเบิ้ลแชมป์ ดวลกับ “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่มีดาวโรจน์อยู่เต็มทีม ภายใต้การบริหารงานของกุนซือปากตะไกร ไบรอัน คลัฟ
เกมผ่านไปแค่ 6 นาที เกมต้องยุติลงเนื่องจากมีแฟนบอลแออัดยัดทะนานกันเข้ามาในสนาม ผมนั่งดูการถ่ายทอดสดเกมคู่นี้อยู่ และเชื่อว่า “สวิตชิ่ง” ที่ควบคุมการถ่ายทอดสดน่าจะอึ้งไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เห็นภาพแฟนบอลเหมือนกับจะตกอัฒจันทร์ต่อจากนั้นอีกเกือบนาที
หนังสือพิมพ์เดอะ ซัน ที่ขอโทษหลังจากเกิดเหตุการณ์นานถึง 23 ปี
สุดท้ายมีแฟนบอลเสียชีวิตถึง 96 คน
หลายคนคงหายสงสัยว่าทำไมวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จึงเตะเวลาที่ต้องลงท้ายด้วย .07 เพราะเป็นการไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตในวันนั้น
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากความต้องการดูเกมคู่นี้สูงมาก แต่ตั๋วบอลไม่พอ แฟนบอลกระจุกกันที่หน้าสนามทั้งคนที่มีและไม่มีตั๋ว บวกกับทางเข้าที่คับแคบตำรวจและการ์ดควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ กระทั่งการ์ด”คิดผิด”อย่างแรง
เมื่อเปิดประตู “เกต C” ที่ไม่มีการเช็คตั๋วให้แฟนบอลเข้าสู่สนาม
ทางเข้าจากประตูดังกล่าวทำให้แฟนบอลมุ่งหน้าสู่ล็อค 3-4 ที่มีความจุได้เพียง 1,600 ที่นั่ง แต่กลับมีคนเข้าอัดกันรวม 3,000 คน และมีรั้วกั้นอยู่ขอบสนาม ทำให้แฟนบอลหายใจไม่ออกเสียชีวิตคาที่ และบางรายเหยียบกันเสียชีวิต
94 คนเสียชีวิตทันทีที่สนาม
4 วันต่อมาแฟนบอลวัย 14 ปีเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
4 ปีต่อมา อีกหนึ่งแฟนบอลที่นอนอาการโคม่าเสียชีวิตมีนาคม 1993
รวมแล้ววงการฟุตบอล และเดอะ ค็อป สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปทั้งสิ้นถึง 96 คน
แต่แปลกตรงที่ คดีดังกล่าวกลับถูกปิดเงียบอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่กังขาว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเหตุการณ์นี้ ที่ไม่เคยได้รับการดูแลจากรัฐบาลอังกฤษเลย
ภาพความทรงจำ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือหงส์ มองแฟนบอลที่กำลังหนีตาย อย่างเจ็บปวดและเป็นกังวล
สมัยนั้น อังกฤษ มีนายกรัฐมนตรีหญิงที่ชื่อว่า มาร์กาเร็ต แธตเชอร์
“หญิงเหล็ก” ท่านนี้อยู่ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในสนามฟุตบอลถึง 3 ครั้งที่แต่ละหนนั้นรุนแรงอย่างมาก
เริ่มจาก 11 พฤษภาคม 1985 เกิดเพลิงไหม้ที่วัลเล่ย์ พาเหรด สนามของ “ไก่แจ้” แบร๊ดฟอร์ด ซิตี้ ระหว่างเกมการแข่งขัน ลินคอห์น มีผู้ถูกย่างสดเสียชีวิตทันที 56 คน และบาดเจ็บ 265 คน
อีกแค่ 18 วันต่อมา เกิดเหตุแฟนบอลลิเวอร์พูล ตีกับ แฟนบอลยูเวนตุส จนทำให้แฟนบอลชาวอิตาเลียน เสียชีวิต 39 คนที่เฮย์เซลล์ สเตเดี้ยม กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ก่อนเกมนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ ซึ่งตอนนั้น แธตเชอร์ อยู่ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป
หนึ่งในคณะรัฐมนตรีบอกว่า นี่คือความอับอายของประเทศ และควรจะยุบวงการฟุตบอลทิ้งซะ
เหตุการณ์นั้นทำให้ทีมจากอังกฤษ โดนแบนออกจากเกมยุโรป 5 ปี แต่ทุกอย่างไม่ได้จบแค่นั้น
กระทั่งเหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่ มีผู้เสียชีวิต 96 คน และบาดเจ็บถึง 766 คน
ภาพความทรงจำ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือหงส์ มองแฟนบอลที่กำลังหนีตาย อย่างเจ็บปวดและเป็นกังวล
ประเด็นนี้แหละที่ทำให้เกิดเรื่องระหว่างแฟนบอลลิเวอร์พูล กับ แธตเชอร์ และหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน
Scousers don’t by the sun ที่เป็นโปสเตอร์ติดอยู่แถวร้านหน้าสนามแอนฟิลด์ หรือจะเป็นป้ายที่แฟนบอลหงส์มักจะเอามาชูเวลาวันแข่งประโยคที่ว่า Expose the lies before thatcher dies
โศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโร่ ปรากฏว่า แธตเชอร์ มีท่าทีที่เชื่อมั่น และให้การสนับสนุนข้อมูลจากตำรวจเซาท์ ยอร์คเชียร์ ซึ่งตำรวจท้องที่ ได้โจมตีว่า แฟนบอลลิเวอร์พูล คือต้นเหตุของเหตุการณ์ครั้งรุนแรงหนนั้น
ด้วยถ้อยคำที่แฟนบอลรับไม่ได้ทั้งการดื่มสุราเมาอย่างหนัก, การปัสสาวะรดศพ, หลายคนติดคดีออาชญากร แม้กระทั่งมีการบอกว่า มีการข่มขืนศพด้วยซ้ำ!
ร้ายยิ่งกว่าก็คือ ด็อกเตอร์สเตฟาน ป็อปเปอร์ แพทย์ผู้รับหน้าที่ชันสูตรศพ ให้การว่า เขาสั่งให้หยุดการค้นหาแฟนบอลผู้รอดชีวิตในเวลา 15.15 น. เพราะคิดว่าคงไม่มีใครรอดชีวิต แต่พอมีการมาสืบอย่างจริงจังก็ได้พบความจริงว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มีแฟนบอล 31 ราย ที่ชีพจรและตับยังไม่หยุดทำงาน
แต่การหยุดการค้นหา ทำให้พวกเขาต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในเวลาต่อมา
รัฐบาลของ แธตเชอร์ ปิดคดีทั้งหมด แต่แฟนบอลหงส์ไม่ยอมและต่อสู้มายาวนาน กระทั่งเดือนตุลาคม 2012
ทุกอย่างถูกเปิดขึ้นและทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายถูกต้องหนแรกในรอบ 23 ปี
ซึ่งเกมปลดปล่อยดวงวิญญาณ 96 คนตารงกับเกมแดงเดือด ซึ่งผมมีโอกาสได้ไปชมเกมนั้น ซึ่งตรงกับเกมแดงเดือด ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯยูไนเต็ด และจับกระแสได้ว่า แฟนฟุตบอลยังคงไม่พอใจอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเดอะ ค็อป ผู้ล่วงลับ
เดวิด คาเมร่อน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กลายเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนแรกที่กล่าวขอโทษกลางสภาในเรื่องของฮิลล์สโบโร่
อันเนื่องมาจากข้อมูลในยุคของ แธตเชอร์ ไม่ตรงกับความเป็นจริงเยอะมาก รวมถึงไม่ยอมค้นหาความเป็นจริง
ส่งผลให้แฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่ชอบ แธตเชอร์ อย่างหนัก
ยิ่งมารวมกับการที่เคยมีเหตุการณ์จลาจลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1981 ก็เพราะนโยบายที่อาจจะบอกได้ว่า “ไม่เอาลิเวอร์พูล” ของ แธตเชอร์
ซึ่งเธอเลือกที่จะพัฒนาเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ และเบอร์มิงแฮม
อย่างไรก็ดี หลังเหตุการณ์นี้ “หญิงเหล็ก” ผู้นี้ยืนหยัดต่อสู้ในเรื่องของฟุตบอลมากมาย โดยเฉพาะสองประเด็นที่เป็นบรรทัดฐานมาจนถึงทุกวันนี้
ประเด็นแรกคือ การยืนหยัดต่อสู้กับฮูลิแกนในสนามฟุตบอล แบบต่อต่อตาฟันต่อฟัน และปราบได้เกือบจะทั้งหมด
ประเด็นสองคือ ประกาศให้เน้นในเรื่องความปลอดภัยของผู้ชมในสนาม จนเป็นที่มาของการปรับอัฒจันทร์ยืนมาเป็นที่นั่งทั้งหมดในเวลาต่อมา
แต่ ลิเวอร์พูล ต้องสูญเสียบุคคลผู้คุมบังเหียนทีมอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช ที่ตัดสินใจอำลาตำแหน่งเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 1991 หลังจบเกมการคุมทัพเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 4-4 ในศึกเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์ เพียง 2 วัน
แรกทีเดียว มีข่าวว่า ดัลกลิช แบกรับความกดดันไม่ไหว หรือทิ้งทีมไปในช่วงที่ทีมกำลังอยู่ในช่วงโรยรา
สุดท้ายข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ เปิดขึ้นมาว่า ดัลกลิช ต้องแบกรับความกดดันต่าง ๆ จากเหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่ ทั้งการปรึกษากับครอบครัวผู้สูญเสีย ครอบครัวผู้บาดเจ็บ ต้องไปงานศพบางครั้ง 4 งานภายในวันเดียว
การต่อกรกับหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน ที่ไม่ยอมลงข่าวขอโทษ ทั้งที่ “คิง เคนนี่” ได้โทรไปคุยกับ เคลวิน แม็คเคนซี่ บรรณธิการในตอนนั้น และแน่นอนที่สุด เคนนี่ ก็ต้องแบกความหวังของแฟนบอลเดอะ ค็อปทั้งโลก เพราะต้องคุมทีมลงแข่งขัน
มันส่งผลเสียหายจนถึงทุกวันนี้ในเรื่องของความสำเร็จในสนามฟุตบอล
...สุดท้ายเมื่อปี 2012 ความจริงได้ปรากฏ
มีการเปิดเอกสารกว่า 450,000 หน้า ที่รวบรวมมาจาก 80 ภาคองค์กรรวมถึงรัฐบาล,ตำรวจ,หน่วยพยาบาลฉุกเฉิน,สภาเมืองเชฟฟิลด์และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพจากเซาธ์ ยอร์คเชียร์
รายงานสรุปเหตุการณ์กว่า 400 หน้า ที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน เมื่อวันพุธที่ 12 กันยายน 2012
โดยใจความสำคัญอยู่ที่หน้า 394
ข้อความระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมือง ได้โยนความผิดให้กับ 96 ผู้เสียชีวิต ว่าเป็นตัวการของเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ เดวิด คาเมร่อน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ออกมาแถลงการณ์ขอโทษต่อเหตุการณ์ดังกล่าวทันที
"จากน้ำหนักของหลักฐานชิ้นใหม่ที่รายงานมา วันนี้ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องแสดงความขอโทษต่อครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 96 คน กับสิ่งที่พวกเขาต้องเจอมาตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ในส่วนของรัฐบาล และประเทศของเรา ผมต้องขอโทษกับความอยุติธรรม ที่ให้เราได้รับรู้ข้อมูลที่ผิดๆ มาโดยตลอด"
นั่นคือแถลงการณ์ขอโทษครั้งแรกที่เกิดขึ้นสำหรับรัฐบาลอังกฤษ
ขณะที่จอมแสบอย่าง “เดอะ ซัน” ได้ออกมากล่าวขอโทษ อย่างเป็นทางการลงบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันที่ 13 กันยายน 2012
โดยระบุว่า รายงานเรื่องโศกนาฎกรรมฮิลล์สโบโร่ เป็นวันที่มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์ของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
"ไม่มีอะไรสามารถแก้ตัวต่อการเสนอข่าวหน้าหนึ่งของเดอะ ซันภายใต้หัวข่าวที่ว่า "The Truth" มันไม่ตรงไปตรงมา,หยาบช้าเป็นอย่างยิ่งและน่ารังเกียจอย่างที่สุด เรื่องราวนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด"
แต่มั่นใจได้เลยว่า ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่วันนั้น แต่มันคือตลอดไป
งานนี้มันผิดจนเกิดอภัยอย่างแท้จริง!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี