ทุกวันนี้ที่การอพยพของผู้ได้รับผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก นอกจากปัญหานี้จะสร้างความทุกข์ยากให้แก่ผู้อพยพแล้ว ยังสร้างต้นทุนแก่ประเทศที่ต้องรองรับการอพยพนี้ด้วย ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องสั่งให้กองทัพมาตั้งฐานปฏิบัติการป้องกันผู้อพยพผ่านชายแดนทีเดียว เมื่อศึกษาจะพบว่าต้นตอสำคัญของปัญหานี้ก็คือการคอร์รัปชันในประเทศของผู้อพยพ เช่น ประเทศเวเนซุเอลา ที่แม้จะมีน้ำมันมูลค่ามหาศาล แต่ประชาชนกลับยากจน ธุรกิจตกต่ำ อัตราการว่างงานสูง จนนำไปสู่การเกิดอาชญากรรมรุนแรง นั่นก็เพราะการคอร์รัปชันที่รุนแรง เห็นได้จากหลังเกิดวิกฤตินี้ขึ้น สำนักงานอัยการเวเนซุเอลาได้ดำเนินคดีกับกลุ่มบริษัทน้ำมันในฐานความผิดทุจริตคอร์รัปชันไปไม่น้อยกว่า 50 ราย จึงเห็นได้ว่าคอร์รัปชันนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศนั้นเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบเชื่อมไปถึงระดับนานาชาติด้วย ทั้งผลเสียต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกและความเสียหายจากการอพยพของประชาชน
ผลกระทบข้ามชาติของการคอร์รัปชันนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปัญหาการอพยพเท่านั้น ยังมีปัญหาอื่นๆอีกมากมาย จึงนำมาสู่คำถามว่าเมื่อการคอร์รัปชันมีผลกระทบระดับนานาชาติเช่นนี้ การต่อต้านคอร์รัปชันนั้นมีมาตรฐานสากลเพื่อแก้ไขปัญานี้หรือไม่ จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่ามีมาตรฐานสากลอยู่หลายมาตรฐาน ทั้งการต่อต้านคอร์รัปชันเอง และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล แต่กลไกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดคือ United Nations Convention Against Corruption (UNCAC) หรืออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
UNCAC เกิดขึ้นในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 จัดขึ้นที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งในปัจจุบันมีประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฉบับนี้แล้ว 186 ประเทศ และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2546 และให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554 อนุสัญญาฉบับนี้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายระดับนานาชาติที่มีเพื่อควบคุมและป้องกันปัญหาคอร์รัปชัน โดยภาพรวมเป็นมาตรการป้องกันและมาตรการทางกฎหมายอาญาซึ่งเป็นแบบแผนที่มีประสิทธิภาพในการปราบปรามคอร์รัปชันทั้งภาครัฐและเอกชน กำหนดให้รัฐภาคีต้องมีหน้าที่จัดทำกฎหมายและนโยบายป้องกันการคอร์รัปชันอย่างมีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนั้นต้องมีการจัดตั้งองค์กรที่ทำงานพิเศษเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน ส่งเสริมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างมีธรรมมาภิบาล มีหลักความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ และนอกจากนั้นรัฐภาคีต้องกระตุ้นภาคประชาสังคม ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมต้านคอร์รัปชันและรับรู้ถึงปัญหาด้วย
เมื่อนำประเด็นสำคัญของ UNCAC มาเปรียบเทียบกับกฎหมายประเทศไทย พบว่ามีความสอดคล้องเชิงโครงสร้างที่สำคัญอยู่ 4 ประการ ได้แก่ ประการแรก การมีกฎหมายการรับรองสิทธิประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมต้านคอร์รัปชัน ซึ่งในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีการบัญญัติในมาตรา 63 ว่ารัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริม ให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้านหรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
ประการที่สอง การให้รัฐมีมาตรการให้องค์กรพิเศษที่มาทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันโดยเฉพาะ ซึ่งประเทศไทยก็มีองค์กรภาครัฐที่ทำงานด้านคอร์รัปชันโดยเฉพาะหลายองค์กร เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ป.ป.ท ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI เข้ามาทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน
ประการที่สาม มีมาตรการเรื่องการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องปัญหาคอร์รัปชันผ่านการปลูกฝังของเด็ก ซึ่งในประเทศไทยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมได้ร่วมกันสนับสนุนการปลูกฝังค่านิยมต้านคอร์รัปชันให้แก่เด็ก มีการพัฒนาหลักสูตรและเครื่องมือต่อต้านคอร์รัปชันใหม่ๆ ให้ทันสมัยและมีความสามารถบูรณาการเข้ากับผู้เรียน ทั้งในรูปแบบหลักสูตรที่นำเข้าไปสอนในโรงเรียน หลักสูตรออนไลน์ เกมส์ออนไลน์ เช่น หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โตไปไม่โกง Corrupt The Game
ประการสุดท้าย การให้ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมรับรู้ในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันร่วมกัน ปัจจุบันในประเทศไทยมีองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันรวมตัวกันทำงานด้านนี้โดยเฉพาะผ่านองค์กรกลางดัง เช่น องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เมื่อหลายภาคส่วนให้ความร่วมมือกันเช่นนี้ย่อมส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน
เห็นได้ว่าประเทศไทยมีโครงสร้างกฎหมายที่สอดคล้องครบทุกประการสำคัญตาม UNCAC แล้ว แต่ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถผลักดันให้มาตรการสากลที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางนี้สร้างผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิผลได้ สมมุติฐานหนึ่งของข้อจำกัดนี้คือ การขาดความร่วมมือของประชาชน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องกระตุ้นให้พลเมืองเป็น Active Citizen หรือพลเมืองตื่นรู้สู้โกงให้ได้ โดยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมต่อต้านคอร์รัปชันได้โดยสะดวก และมีต้นทุนต่ำ ไม่ต้องหวั่นกลัวว่าจะไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย
ผู้เขียนขอแนะนำหนึ่งช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงและใช้งานได้ง่าย โดยเปิดให้ประชาชนเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook เพจต้องแฉ ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือของหลายองค์กรในภาคเอกชนและประชาสังคม โดยใช้กระบวนการ Crowdsourcing ให้ประชาชนมาระดมข้อมูล ความรู้ และความเห็นต่อกรณีต่างๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน และเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่ถูกสังคมสงสัยได้ชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อให้ความยุติธรรมไปพร้อมๆกับการเปิดโปง ซึ่งสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างสร้างสรรค์ของประเทศไทยได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี