ประเทศกำลังพัฒนาโดยมากรวมถึงไทยให้ความสำคัญกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) สูงกว่าเงินทุนไหลเข้าประเภทอื่น เนื่องจาก FDI เป็นเงินทุนระยะยาวที่เพิ่มการสะสมทุนในเศรษฐกิจ มีความผันผวนต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนในหลักทรัพย์ ที่สำคัญมีบทบาทช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิตการถ่ายทอดเทคโนโลยี ก่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้แก่ประเทศผู้รับการลงทุน (Host country) ซึ่ง FDI จะเกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้ ซึมซับเทคโนโลยีของ Host country เอง และมักเกิดผลชัดเจนในระยะยาว เป็นเพราะทักษะเทคโนโลยีต้องอาศัยระยะเวลาในการถ่ายทอดและเรียนรู้จนชำนาญอย่างไรก็ตาม การพึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศมากเกินไปจะทำให้การเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมีรากฐานที่ไม่มั่นคงได้ กรณีที่ต่างชาติมีการถอนเงินลงทุนกลับประเทศ
การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพา FDI หลายด้าน เช่น เงินทุน เทคโนโลยีการผลิต การส่งออกและการนำเข้า ดังนั้นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนออกไปลงทุนยังต่างประเทศ จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการนำไปไปสู่เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยวางรากฐานจากภาคเอกชนไทยให้เข้มแข็งและยังสามารถช่วยลดแรงกดดันต่อภาวะเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากทำให้การเคลื่อนย้ายเนทุนมีความสมดุลและอัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพมากขึ้น
การลงทุนโดยตรงของไทย ในต่างประเทศ (Thai Direct Investment : TDI) เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในเวทีระดับโลกเพื่อลดปัญหาการเข้าถึงแหล่งทรัพยากนในประเทศและการแสวงหาโอกาส
ทำธุรกิจใหม่ๆ นำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว โดยธุรกิจที่ออกไปลงทุนต่ำงประเทศสามารถเลือกลงทุนด้วยเงินทุนของตนเองทั้งหมด (Wholly owned) หรือร่วมทุน (Joint venture) กับธุรกิจในต่างประเทศภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับของประเทศนั้นๆ
ปัจจุบันการลงทุน TDI มีบทบาทสำคัญมากขึ้นกว่าในอดีตจากปัจจัยผลักดันหลายประการ เช่น การขยายตัวของเศรษฐกิจ ศักยภาพและความเข้มแข็งของธุรกิจไทย การผ่อนคลายกฎเกณฑ์หรือเปิดเสรีการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2553 จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าในช่วงปี 2550-2556 มูลค่ำ TDI เฉลี่ยไตรมาสละ1,502 ล้านดอลลาร์สรอ. อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1 ปี 2557 มูลค่า TDI ลดลงมาอยู่ที่ 890 ล้านดอลลาร์สรอ. เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยธุรกิจสนใจลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียนมากที่สุด คือเวียดนาม และสิงคโปร์ รองลงมาคือ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และหมู่เกาะเคย์แมน ตามลำดับ
อย่างไรก็ดีธุรกิจที่สามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศมักเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีศักยภาพด้านการผลิต มีความพร้อมด้านเงินทุนและบุคลากร โดยแต่ละรายมีวัตถุประสงค์และแรงจูงใจแตกต่างกัน ได้แก่
1) เพื่อแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ (Resource seeking) ภายนอกประเทศที่มีจำนวนมากและราคาถูกกว่า
2) เพื่อขยายตลาด (Market seeking) ด้วยการเข้าถึงตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง
3) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Efficiency seeking) โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากปัจจัยการผลิตต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพเช่น แสวงหาความถนัดหรือเทคโนโลยีในการผลิตที่ดีกว่า ใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีในการส่งออกไปประเทศอื่น เป็นต้น
ในกรณีของภาคใต้การลงทุน TDI ของธุรกิจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นลำดับโดยมีธุรกิจไทยออกไปลงทุนในสิงคโปร์เป็นสัดส่วนสูงที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการค้าและการพัฒนาโลจิสติกส์ อาทิมีท่าเรือสินค้าที่มีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์มากเป็นอันดับ 2 ของโลก นอกจากนี้อัตราภาษีนิติบุคคลเพียง 10% สำหรับบริษัทต่างชาติที่ผ่านเงื่อนไขการลงทุนของสิงคโปร์ เป็นปัจจัยดึงดูดที่ทำให้ธุรกิจเข้าไปลงทุน เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและขยายตลาดเพื่อจัดจำหน่ายหรือกระจายสินค้า
ประเทศที่นิยมไปลงทุนรองลงมาได้แก่ หมู่เกาะบริติช เวอร์จินที่มีข้อได้เปรียบเรื่องปลอดภาษีสหรัฐอเมริกา มาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ตามลำดับ อย่างไรก็ดีเมื่อเทียบกับภาพรวมการลงทุน TDI ทั้งประเทศ พบว่า TDI ของธุรกิจภาคใต้ยังมีปริมาณและมูลค่าไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และมักกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมหลักเพียงไม่กี่ประเภท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก ที่พักแรม การผลิตยานยนต์/รถพ่วงและรถกึ่งพ่วง และผลิตภัณฑ์อาหาร เนื่องจากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศมักประสบปัญหาเรื่องการขาดข้อมูลเชิงลึกในการลงทุน ขั้นตอน กฎหมาย กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติของประเทศที่จะเข้าไปทำธุรกิจ พื้นที่และอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ รวมถึงการประสานกับหน่วยงานและนักธุรกิจในต่างประเทศ
นอกจากนี้การเข้าไปลงทุนของธุรกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นการเข้าไปด้วยศักยภาพ ความพร้อมและความได้เปรียบของบริษัทเองเช่นเทคโนโลยี เงินทุน บุคลากร เป็นต้น
แต่สำหรับธุรกิจอีกหลายรายรวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ศักยภาพความร้อมหรือข้อได้เปรียบต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ยากสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอีกหลายราย
ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริม อำนวยความสะดวกเตรียมความพร้อม ตลอดจนแสวงหาช่องทางให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพะในภาวการณ์ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี เป็นต้น และผลกระทบจากภายในประเทศ
ปัจจุบัน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จัดตั้งกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ พร้อมกับกระทรวงการคลังได้อนุมัติยกเลิกวงเงินที่กำหนดให้บุคคลธรรมดาสามารถนำเงินไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้ไม่จำกัดซึ่งเป็นพัฒนาการภายใต้แผนแม่บทการเคลื่อนย้ายเงินทุนของธนาคารแห่งประเทศ จึงเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศ ขณะเดียวกันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็วที่มาพร้อมการแข่งขันที่นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นภายใต้การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนธุรกิจไทยจะต้องปรับตัวและพัฒนาศักยภาพเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันอยู่รอดได้ในตลาดโลกไปพร้อมกัน
โดย..กฤษณี พิสิฐศุภกุล
สำนักงานภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี