นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ฟ้องร้องดำเนินคดีเกี่ยวกับผู้ที่กระทำการทุจริต ทำให้ธนาคารเกิดความเสียหาย ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ(ซุปเปอร์บอร์ด) เร่งให้ดำเนินการ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การฟ้องร้องบุคคลภายนอกและอดีตพนักงาน ผู้บริหาร ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนร่วม ในการทำให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้นแก่ภาครัฐและธนาคาร มีคดีถึงที่สุดแล้ว อยู่ระหว่างการบังคับคดีกับผู้กระทำผิด 4 เรื่อง เป็นจำนวน 4 ราย และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอีก 6 เรื่อง มีอีกจำนวน 19 ราย และเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป
2.การตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกับพนักงานที่อยู่ในข่ายกระทำความผิด เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วในแต่ละกรณีก็จะตั้งคณะกรรมการลงวินัยตามระเบียบของรัฐวิสาหกิจต่อไป โดยขณะนี้มีเรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ 19 กรณี มีจำนวน 32 ราย แบ่งเป็นการกระทำผิดด้านสินเชื่อ 6 เรื่อง ด้านร่วมลงทุน 6 เรื่อง ด้านการดำเนินงานที่ขัดนโยบาย 4 เรื่อง และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการทำผิดระเบียบธนาคารอีก 7 เรื่อง คาดว่าจะสอบสวนเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่ามีอดีตกรรมการผู้จัดการเอสเอ็มอีแบงก์รายหนึ่ง มีความเกี่ยวโยงกับการปล่อยสินเชื่อแบบผิดปกติ โดยในจำนวนหนี้เสียเอ็นพีแอลทั้งหมด 3.1 หมื่นล้านบาท มีเอ็นพีแอลจัดตั้งปล่อยกู้แบบผิดปกติ โดยเฉพาะในปี’52 ปล่อยให้กับโครงการชะลอการเลิกจ้าง วงเงินตั้งแต่ 50-200 ล้านบาท มูลค่ากว่า 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้เอสเอ็มอีแบงก์จะให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีความเข้มข้นในการตรวจสอบการทุจริตมากขึ้น
นางสาลินี กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขเอ็นพีแอล ธนาคารได้คัดเลือกเอ็นพีแอลที่มีหลักประกัน วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และแบ่งขายเป็นกองแรกแล้วในภาคตะวันออกวงเงิน 500 ล้านบาท แต่ลูกหนี้บางรายได้ขอประนอมหนี้ทำให้เหลือยอดหนี้คงค้างของกองดังกล่าวมีอยู่ 316 ล้านบาท โดยขณะนี้สิ้นสุดระยะประมูลขายแล้ว มีบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) หลายรายให้ความสนใจซื้อซองและยื่นข้อเสนอราคา ซึ่งธนาคารได้เปิดซองประมูลแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2558 ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจารายละเอียดกับ AMC ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุด
สำหรับลูกหนี้เอ็นพีแอลรายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน วงเงิน 5,000 ล้านบาท ขณะนี้ทำสัญญากับบริษัทเงินสดทันใจ มาดำเนินการเก็บหนี้แทน โดยร่วมมือกับกรมบังคับคดีเป็นตัวกลางช่วยไกล่เกลี่ย เป็นผลสำเร็จกว่า 500 ราย เป็นวงเงิน 300 ล้านบาท ส่วนเอ็นพีแอลที่เหลืออีก 1.6 หมื่นล้านบาท จะปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กลับมาเป็นปกติ
อย่างไรก็ตาม ในจำนวนลูกหนี้เอ็นพีแอลกลุ่มหลังดังกล่าว มีบางส่วนเป็นลูกหนี้ที่เกิดจากโครงการสินเชื่อภาครัฐ หรือพีเอสเอ โดยคาดว่าจะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จภายในเดือน เม.ย.2559 หากไม่สามารถดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ในกลุ่มนี้ได้ ก็จะขอเบิกเงินชดเชยจากกระทรวงการคลังต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี