นางพวงทิพย์ ศิลปศาสตร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่าตามที่สัมปทานปิโตรเลียมที่รัฐบาลไทยออกให้แก่ผู้รับสัมปทานภายใต้พระราชบัญญัติปิโตรเลียมเมื่อปี พ.ศ.2514 จำนวน 2 บริษัท กำลังจะสิ้นสุดอายุสัมปทานลงในเดือนเมษายน 2565 และเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมไม่สามารถต่ออายุสัมปทานได้อีก และทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นทรัพย์สินของรัฐ
โดยสัมปทานปิโตรเลียม (จำนวน 4 สัมปทาน ใน 7 แปลงสำรวจ) ที่กำลังจะสิ้นสุดอายุสัมปทาน ประกอบด้วย 1.แปลงสำรวจหมายเลข B10, B11, B12 และ B13 (สัมปทานหมายเลข 1/2515/5 และ 2/2515/6) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณและใกล้เคียง ปัจจุบันมีอัตราการผลิต 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ดำเนินการโดยบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด
2.แปลงสำรวจหมายเลข B15, B16 และ B17 (สัมปทานหมายเลข 3/2515/7 และ 5/2515/9) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช
ปัจจุบันมีอัตราการผลิต 870 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ดำเนินการโดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
นางพวงทิพย์ กล่าวว่า ปัจจุบันแหล่งดังกล่าว เป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติหลักของไทย (ประมาณ 2,214 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันหรือคิดเป็น 76% ของปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยในปี 2557) และเชื่อว่าจะสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ได้ต่อไปอีกประมาณ 10 ปี หากมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เพื่อรักษาระดับการผลิตและความต่อเนื่องในการผลิตก๊าซธรรมชาติในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีความชัดเจนอย่างช้าภายในปี 2560 กระทรวงพลังงานจึงได้เสนอกรอบแนวทางการบริหารจัดการในพื้นที่สัมปทานดังกล่าว คือ 1.พิจารณาหาผู้ดำเนินงานในพื้นที่ที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทาน ซึ่งต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องในการพัฒนาแหล่งก๊าซ รักษาเสถียรภาพการผลิตก๊าซธรรมชาติของประเทศ รวมถึงนำทรัพยากรก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
2.พิจารณาระบบการบริหารจัดการ จัดเก็บผลประโยชน์เข้ารัฐ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งระบบสัมปทานตามกฎหมายปิโตรเลียม หรือระบบสัญญาอื่นๆ ได้แก่ ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ซึ่งในทุกแนวทางจะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน หากจะมีการนำระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตมาใช้ก็อาจต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรของรัฐ และจะต้องเตรียมความพร้อมของบุคลากรควบคู่ไปด้วย
3.การเพิ่มสัดส่วนของรัฐ ในการถือครองแหล่งก๊าซให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรม โดยนำศักยภาพปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่เหลืออยู่ในพื้นที่ผลิต รวมทั้งสิ่งก่อสร้างและอุปกรณ์การผลิตที่จะตกเป็นของรัฐตามกฎหมายเมื่อสิ้นสุดสัมปทาน มาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งอาจต้องเจรจาเพื่อลดสัดส่วนการถือสิทธิของผู้รับสัมปทานและเพิ่มสิทธิการถือสิทธิของรัฐในพื้นที่ผลิต หรือการเรียกเก็บโบนัสการลงนามหรือโบนัสการผลิตต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากนี้กระทรวงพลังงานและคณะกรรมการปิโตรเลียม จะดำเนินการตามกรอบแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นอายุ ตามที่คณะกรรมการนโยบานพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ได้ให้ความเห็นชอบ โดยจะให้ได้ข้อยุติภายใน 1 ปี (นับจากวันที่ได้รับความเห็นชอบ 14 พฤษภาคม 2558)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี