ปริญสิริซื้อกิจการเคพีเอ็น โฮลดิ้ง
เสริมจุดแข็งแนวราบ-คอนโด
คาดปีนี้รับรู้รายได้ 2,600ล้าน
นายชัยรัตน์ โกวิทจินดาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) (PRIN) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2558 ได้มีมติอนุมัติการเข้าทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการโอนและรับโอนกิจการทั้งหมดกับบริษัท เคพีเอ็น โฮลดิ้ง จำกัด (KPNH) และกลุ่มผู้ถือหุ้นของ KPNH และอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer หรือ EBT) จาก KPNH ในราคาซื้อขายรวม 4,032 ล้านบาท โดยบริษัทจะชำระราคาค่าซื้อขายกิจการดังกล่าวบางส่วนเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทและส่วนที่เหลือเป็นเงินสด
ทั้งนี้ ก่อนการโอนกิจการทั้งหมด KPNH จะเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด (KPNGC) ในสัดส่วน 100% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ KPNGC ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารชุดเพื่อการอยู่อาศัย (Residential Condominium) โดยสินทรัพย์หลักของ KPNGC ได้แก่ ต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการจำนวน 4 โครงการ คือ “เดอะ แคปปิตอล ราชปรารภ-วิภาฯ” มูลค่าโครงการ 1,558 ล้านบาท, “เดอะ แคปปิตอล เอกมัย-ทองหล่อ” มูลค่าโครงการ 1,330 ล้านบาท, “เดอะ
ดิโพลแมท สาทร” มูลค่าโครงการ 2,793 ล้านบาท, “เดอะ ดิโพลแมท 39” มูลค่าโครงการ 3,646 ล้านบาท
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการยังได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,220,011,755 บาท เป็น 3,140,011,755 บาท โดยออกหุ้นสามัญ 1,920 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท รวม 1,920 ล้านบาท จัดสรรเป็น 2 ส่วนคือ 1.หุ้นสามัญเพิ่มทุน 960 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2.10 บาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการชำระค่าตอบแทนในการรับโอนกิจการทั้งหมดของ KPNH ในส่วนที่ต้องชำระเป็นเงินสด 2.ส่วนที่เหลืออีก 960 ล้านหุ้น จะเสนอขายให้แก่ KPNH ในราคาหุ้นละ 2.10 บาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทนในการรับโอนกิจการจาก KPNH แทนการชำระด้วยเงินสด
สำหรับทรัพย์สินที่ PRIN จะรับโอนจาก KPNH คือ หุ้นสามัญ 8 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท) ใน KPNGC (คิดเป็น 100% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ KPNGC) มีราคาซื้อขายอยู่ที่ 4,032 ล้านบาท โดยบริษัทจะชำระราคา เป็นหุ้นสามัญออกใหม่ของบริษัทจำนวน 960 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 2.10 บาท รวมมูลค่าเท่ากับ 2,016 ล้านบาท
และส่วนที่เหลือจะชำระเป็นเงินสดอีก 2,016 ล้านบาท
“หลังจากที่บริษัทเข้าทำรายการรับโอนกิจการทั้งหมดของ KPNH แล้ว KPNH จะส่งผู้แทนเข้ามาเป็นกรรมการของบริษัท 2 คน คือ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช และนายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ ซึ่งทั้ง 2 คน มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารชุดพักอาศัยระดับบน ซึ่งเป็นสินค้าที่บริษัทไม่มีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทเน้นโครงการแนวราบและอาคารชุดพักอาศัยที่สูงไม่เกิน 8 ชั้น (Low Rise) โดยคาดว่าในปี 2558 KPNGC จะสามารถรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพักอาศัยใน 2 โครงการ ประมาณ 2,600 ล้านบาท และอีก 2 โครงการที่เหลือมีกำหนดจะพัฒนาแล้วเสร็จในปี 2560-2561”นายชัยรัตน์ กล่าว
นายธิติ ธเนศวรกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอ.พี.เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ภายใต้แบรนด์ “ไฮยีน” (Hygiene) เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค โดยในส่วนของตลาดผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แม้ในปี 2557 จะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6% จากตลาดรวมผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มที่มีมูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท
โดยประเภทหรือเซ็กเมนต์ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นสูตรมาตรฐาน หรือคิดเป็นสัดส่วนของตลาดอยู่ที่ประมาณ 45% หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มีอัตราการเติบโตในปี 2557 ขณะที่สูตรเข้มข้น มีสัดส่วนประมาณ 55% หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 5,000 ล้านบาท มีการเติบโต 18%
สำหรับด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคในการซื้อผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มนั้น พบว่าซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้า ยังเป็นช่องทางหลักที่ผู้บริโภคนิยมซื้อผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ซึ่งเฉลี่ยจะมีการซื้อประมาณ 2-3 ชิ้นต่อเดือน โดยปัจจัยในการเลือกซื้อจะมาจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ
“กลุ่มผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ถึงแม้ว่าจะมีการแข่งขันที่สูงมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา แต่บริษัทเชื่อว่าอย่างไรก็ตามผู้บริโภคมักตัดสินใจซื้อที่คุณภาพมากกว่าราคา ขณะที่สื่อที่ผู้บริโภคเปิดรับในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มยังคงเป็นสื่อทีวี และสื่อ ณ จุดขาย” นายธิติ กล่าว
ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากในครั้งที่ผ่านมาในการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น “ไฮยีน เอ็กซ์เพริ์ท แคร์ แฮปปี้ ซันชายน์” (Hygiene Expert Care Happy Sunshine) โดยใช้กิจกรรมการตลาดแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นสื่อทีวี, สื่อวิทยุ และสื่อ ณ จุดขายในห้างสรรพสินค้า พร้อมแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่างจำนวน 1 ล้านชิ้น เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้หญิงวัยทำงานและแม่บ้านยุคใหม่ อายุระหว่าง 25-40 ปี ที่ใส่ใจการดูแลเสื้อผ้าตัวเองและคนในครอบครัว
โดยบริษัทคาดว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะสร้างยอดขายได้ประมาณ 400 ล้านบาท หรือเติบโต 100% ในตลาดผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น จะส่งผลให้ภาพรวมของแบรนด์ “ไฮยีน” เติบโตประมาณ 13% มากกว่าตลาดรวม ซึ่งบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 30% ของตลาดรวมน้ำยาปรับผ้านุ่ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี