นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ S.T. Group Co., Ltd. โดยท่านสีทัด ไซสุลิวง ประธานบริษัท ผู้ซึ่งประกอบธุรกิจธนาคารST Bank เพื่อจัดตั้งบริษัท ST-Muang Thai Insurance Co.,Ltd. ดำเนินธุรกิจประกันภัยทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)

นายสาระ กล่าวว่า การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่จะยกระดับธุรกิจไปสู่การเป็น “บริษัทประกันชีวิตระดับภูมิภาค” หรือ Regional Companyโดยให้ความสนใจกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เป็นกลุ่มแรกซึ่งสอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC)

โดยบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตมีสัดส่วนร่วมทุนในบริษัท ST-Muang Thai Insurance Co.,Ltd. จำนวน 10% คิดเป็นเงินลงทุน 3,200 ล้านกีบหรือประมาณ 14 ล้านบาท ของทุนจดทะเบียนบริษัทดังกล่าวทั้งสิ้น 32,000 ล้านกีบ หรือประมาณ 140 ล้านบาท

ST-Muang Thai Insurance Co.,Ltd. เป็นบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อดำเนินการประกอบธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยในสปป.ลาว มีจำนวนหุ้นทั้งหมด 1.6 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้น 20,000 กีบ/หุ้น นอกจากบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตแล้ว ยังมีผู้ถือหุ้นอื่นอีก 90% ประกอบด้วย S.T. Group Co., Ltd. ถือหุ้น 70% บริษัท เมืองไทยโฮลดิ้ง 10% และบริษัท เมืองไทยประกันภัย อีก 10%

ก่อนหน้านี้บริษัทเมืองไทยประกันชีวิตได้ร่วมกับ Canadia Investment Holding PLC. จัดตั้งบริษัท โสวรรณภูมิไลฟ์ แอสชัวรันซ์ (Sovannaphum Life Assurance PLC.) เพื่อดำเนินธุรกิจประกันชีวิตในกัมพูชา รวมถึงได้ลงนามในสัญญาร่วมทุน เพื่อร่วมจัดตั้งบริษัทประกันชีวิตร่วมทุนในประเทศเวียดนาม ภายใต้ชื่อ MB Ageas Life นอกจากนี้ ในปี 2557 บริษัทยังได้จัดตั้งสำนักงานผู้แทน (Representative Office) เพื่อให้ความรู้ด้านการประกันชีวิตในประเทศเมียนมาด้วย

“โมเดลการลงทุนของเมืองไทยประกันชีวิตในกลุ่มประเทศ CLMV จะเป็นการร่วมทุน (Joint Venture) ซึ่งเราเชื่อมั่นในรูปแบบการร่วมทุน เพราะเมืองไทยประกันชีวิตในฐานะผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจประกันชีวิตมากว่า 64 ปี สามารถร่วมแชร์ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการประกันชีวิตกับกลุ่มบริษัทในประเทศที่เราไปร่วมลงทุน ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดในประเทศ และมีเครือข่ายช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าของประเทศนั้นๆ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำธุรกิจประกันชีวิต” นายสาระกล่าว