นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากกำลังซื้อเกษตรกรเพิ่มขึ้น จากราคาสินค้าเกษตรต่างๆ ที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลัก ทั้งข้าว ยางพารา อ้อย และปาล์มน้ำมัน ราคาปรับดีขึ้น ตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นกว่า 10% ทำให้ในช่วงเดือนมีนาคม เทียบกับพฤษภาคม ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% เพิ่มจากตันละ 7,773 บาท เป็น 8,074 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้น 4.49% ราคายางแผ่นดิบชั้น 3 เพิ่มขึ้น จาก 39.78 บาทต่อกก. เป็น 54.12 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 9.11% และราคาปาล์มน้ำมันจาก 4.50 บาท ต่อกก. เป็น 5.24 บาทต่อกก. ซึ่งถือว่าเป็นราคาสูงสุดในรอบ 15 เดือน และราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้น 7% โดยราคาน้ำตาลทรายดิบ จาก 15.35 เซนต์ต่อปอนด์ เป็น 17.79 เซนต์ต่อปอนด์ ยกเว้นมันสำปะหลังที่ราคายังต่ำ เนื่องจากผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านไหลเข้ามา
โดยจากการสำรวจสมาชิกหอการค้าไทยในทุกภาคผ่านระบบออนไลน์ พบว่ารายได้เกษตรกรเริ่มดีขึ้น เห็นได้จากยอดการซื้อรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ในช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ขยายตัว 20% ดังนั้นจากนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มที่จะไม่ลดลงกว่านี้และน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ทำให้หอการค้าไทยเห็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดย ราคาข้าวที่เพิ่มทุก 1,000 บาทต่อตัน จะมีเงินเข้ามาหมุนเวียนเพิ่มในระบบได้ ประมาณ 30,000 ล้านบาท, และราคายางพาราที่เพิ่มทุก 10 บาทต่อกก.จะมีผลทำให้มีเงินเพิ่มในระบบ อีกกว่า 40,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับสินค้าเกษตรอื่นๆ คาดว่าจะมีเม็ดเงินมาหมุนเวียนเพิ่มขึ้น เป็น แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญ (key factor) ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ในเดือนเมษายนที่ผ่านมารัฐมีการเบิกจ่ายประมาณเพิ่มขึ้น 19% และเบิกจ่ายงบลงทุนเพิ่มขึ้น 11% ทำให้คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้น และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีอัตราการขยายตัว 3.3% ทำให้ทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวตามเป้าหมาย 3.2-3.5%
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความกังวลจากปัจจัยเสี่ยงจากปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรในปีนี้ อาจไม่สูงเท่าภาวะปกติ ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินยังชะลอการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งปัจจัยที่จีนยังมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและได้หันมาพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น และชะลอการนำเข้าสินค้าซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกได้ รวมทั้งยังมีปัจจัยกรณีที่อียูอาจจะตัดสิทธิจีเอสพี สินค้าประมงไทยและยังมีปัญหา IUU
ด้านนายกำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยถึงสำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพลล์” เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมครึ่งหลังปี 2559 ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 60.42% มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยโดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 จะทรงตัว รองลงมา 25% มองว่าจะขยายตัว และส่วนหนึ่งเพียง 12.5% มองว่าจะหดตัว สอดคล้องกับผู้ประกอบการ 56.25% ประเมินทิศทางภาคอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะทรงตัว รองลงมา 27.08% คิดว่าภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัว และ 16.67% เห็นว่าจะหดตัว
ทั้งนี้ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 62.5% ยังกังวลเรื่องปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วล่าช้ากว่าที่คิด รองลงมา 52.08% เป็นห่วงเรื่องกำลังซื้อในประเทศ อีก 37.5% เป็นห่วงสถานการณ์ภัยแล้ง ส่วน 35.42% กังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ไม่สงบ และ 31.25% กังวลปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี