ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ปิดทำการเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 (ตามเวลาในประเทศไทย) ร่วงลงอย่างหนัก 1,032.89 จุด หรือปิดตลาดที่ 23,860.46 จุด ลดลง 4.15% ขณะที่นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นชี้ว่า ปัจจัยที่ยังทำให้หุ้นดาวโจนส์ปรับร่วงลงแรงมาจากปัจจัยเดิมคือกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น
ก่อนหน้านี้การปรับลดลงของดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ถือเป็นการปรับลดลงอย่างแรง หลังการปิดตตลาดเมื่อต้นสัปดาห์โดยร่วงลงแรงถึง 1,175.21 จุด นับเป็นต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปีครึ่ง
นักวิเคราะห์ระบุว่า การดิ่งลงของดาวโจนส์ครั้งล่าสุด ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกปรับลดลงในหลายๆ ตลาด โดยตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,937.45 จุด ลดลง 57.70 จุด ลดลง 0.96%, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดที่ 2,363.77 ลดลง 43.85 จุด หรือ 1.82% ส่วนดัชนีฮั่งเส็ง ของตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 29,507.42 ลดลง 943.85 จุด หรือ3.01% ส่วนดัชนีนิเคอิ ของญี่ปุ่น ปิดที่ 21,382.62 ลดลง 508.24 จุด หรือ 2.32%
ส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยพบว่า ปิดตลาดที่ 1,786.45 ลดลง 0.21 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 67,648.23 ล้านบาท
ขณะที่โบรกเกอร์ ชี้ว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก จากความกังวลว่า เฟด จะขึ้นดอกเบี้ยเร็ว อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยไม่ได้ตอบรับรุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาค หรือตลาดหุ้นสหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยก่อนหน้านี้ไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากเหมือนตลาดหุ้นภูมิภาค หรือตลาดหุ้นสหรัฐฯอีกทั้งเศรษฐกิจยังมีความแข็งแกร่งอยู่
ในวันเดียวกัน สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง แจ้งว่าการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลแบบขาดดุล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ ดีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2557 2558 และ 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 0.9 2.9 และ 3.2 ตามลำดับ โดยในปี 2560 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ใกล้เคียงร้อยละ 4.0 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
โดยตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากกว่าประมาณการรายได้ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขั นของประเทศ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยังมีข้อจำกัดจากอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่เต็มศักยภาพ โดยการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลดังกล่าวเป็นการขาดดุลสำหรับรายจ่ายเพื่อการลงทุน ซึ่งการลงทุนภาครัฐจะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมของประเทศช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย (crowding-in effect)
มีรายงานแจ้งด้วยว่า การออกแถลงของ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง เกิดขึ้นหลังจากผู้ตั้งข้อวิจารณ์เรื่องการบริหารเงินคงคลังของรัฐบาล โดยนำข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557-พฤศจิกายน 2560 เป็นตารางมาเปรียบเทียบ พร้อมกล่าวว่า ความสามารถในการบริหารเงินคงคลังของคสช. มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ จนต้องกู้เงินเพิ่ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี