นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.กำลังติดตามใกล้ชิดเกี่ยวกับมาตรการกีดกันทางการค้าโดยเฉพาะกรณีเวียดนามที่ออกมาตรการควบคุมนำเข้ารถยนต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการออกเอกสารรับรองรถยนต์นำเข้าจากประเทศผู้ส่งออกและการตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ใหม่ที่นำเข้ามาจำหน่ายซึ่งหากไม่มีการแก้ไขระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อฐานการผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยและอาจส่งผลให้ประเทศอื่นๆในอาเซียนดำเนินมาตรการดังกล่าวตามได้ซึ่งคงจะไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน
“เวียดนามออกมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) โดยรถยนต์ที่นำเข้าไปทุกลอตจะต้องถูกตรวจสอบซึ่งข้อเท็จจริงส่งไปทุกวัน และแม้มีการออกเอกสารรับรองช่วงแรกๆ ส่งไปก็ไม่รับทางสมอ.เองก็ได้แจ้งต่อการประชุมองค์การการค้าโลก (WTO) ว่าไม่ถูกต้องเพราะต้องแจ้งไทยก่อนล่วงหน้า 60 วัน กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานอื่นๆ ของไทยก็เจรจามาต่อเนื่องแต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากเวียดนามมากนัก ดังนั้นไทยต้องมีกลไกอื่นดำเนินการต่อ ส่วนจะฟ้องต่อ WTO หรือไม่ก็ขึ้นกับกระทรวงพาณิชย์จะพิจารณา”นายณัฐพลกล่าว
มาตรการกีดกันทางการค้าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้บางอุตสาหกรรม ย้ายฐานการผลิตออกไป ซึ่งมาตรการกีดกันทางการค้าของเวียดนามส่งผลให้นักลงทุนที่ลงทุนในอาเซียน ที่คาดหวังว่าอาเซียนเป็นตลาดเดียวกันจะไม่เชื่อมั่นพอสมควร และจะเป็นความมิชอบ เพราะหากเวียดนามทำได้ประเทศอื่นก็จะทำได้เช่นกัน จึงไม่เป็นผลดีต่ออาเซียน ดังนั้นอาเซียนจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน
และต้องติดตามกรณีที่สหรัฐประกาศใช้มาตรา 232 (Section 232) ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% จากทุกประเทศเว้น 7 ประเทศมีผล 23 มีนาคมที่ผ่านมา อาจทำให้เหล็กเข้ามาตลาดไทยมากขึ้นได้ ส่วนกรณีที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจากจีนที่ส่งออกผ่านเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดที่สหรัฐกำหนดไว้ต่อเหล็กที่นำเข้าจากจีนอาจส่งผลกระทบต่อเหล็กไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐเช่นกันเพราะอาจโดนเพ่งเล็งว่าเป็นประเทศที่ 3 ที่จีนใช้ส่งออกเช่นเดียวกับกรณีของเวียดนามซึ่งต้องติดตามใกล้ชิด
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่าภาคเอกชนอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์มาตรการ NTB ในการส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศเวียดนาม เนื่องจากมาตรการใหม่ของเวียดนามได้ส่งผลกระทบทำให้การส่งออกรถยนต์ล่าช้ากว่าเดิมมาก เช่น จากเดิมหากเอกสารครบรถยนต์จะถูกปล่อยจากท่าเรือได้ทันที แต่ล่าสุดในเดือนมีนาคม รถยนต์ต้องถูกกักบริเวณท่าเรือถึง 1 เดือน ส่งผลให้ยอดการส่งออกไปยังเวียดนามในช่วง 4 เดือน (มกราคม-เมษายน) มีปริมาณเพียง 4,000 คัน จากปกติต้องส่งออกไปแล้ว 20,000 คัน ขณะที่ทั้งปีตั้งเป้าการส่งออกรถยนต์ไปเวียดนามที่ 65,000 คัน
“ตอนนี้อยากให้ภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ มีความเข้มแข็งในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้มากขึ้น เช่น การฟ้องร้องกับ WTO เพราะเวียดนามทำผิดค่อนข้างชัดเจน ซึ่งตอนนี้จะติดตามสถานการณ์ในเดือนมิถุนายนอีกครั้งว่า การส่งออกรถยนต์ไปยังเวียดนามได้รับการแก้ไขหรือไม่ หากภาครัฐยังนิ่งเฉย จะส่งผลกระทบอย่างมากกับอุตฯ รถยนต์ของไทย และเกรงว่า ประเทศอื่นๆ จะเลียนแบบด้วย ซึ่งมาตรการนี้เป็นผลจากการที่เวียดนามต้องการปกป้องอุตฯรถยนต์ในประเทศตัวเอง เพราะปีที่ผ่านมารัฐบาลของเวียดนามเองได้ประกาศจะชูอุตฯรถยนต์ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ”นายสุรพงษ์กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี