นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ กล่าวว่า การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับ นายคิม จอง อึน ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศจะดีขึ้น แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตกลงกันได้ คงต้องหารืออีกหลายครั้ง จึงมีผลผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยค่อนข้างน้อย นักลงทุนให้น้ำหนักปัญหาสงครามการค้ามากกว่า หลังจากการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ จี7 ไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม วันที่ 12-13 มิถุนายนนี้ รวมทั้งการประชุมธนาคารยุโรป และ ญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม จากการโรดโชว์ต่างประเทศ พบว่านักลงทุนกำลังจับตามองการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะความชัดเจนวันเลือกตั้งหากเป็นไปตามโรดแมป จะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติหยุดแรงขายหุ้นไทย และจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังดีขึ้น เพราะมีปัจจัยบวกที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี การลงทุนเอกชน การบริโภคปรับดีขึ้นต่อเนื่อง โดยบล.ทิสโก้ คงเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ 1,850 จุด
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 91.66 ลดลง 1.07% จากระดับ 92.65 ในครั้งก่อน อยู่ในภาวะทรงตัวเป็นเดือนที่สอง มีปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นคือการเมือง การเคลื่อนย้ายเงินทุน และเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวขึ้น
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า ดัชนีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,860 จุด โดยดัชนีสูงสุดที่ 1,877 จุด และดัชนีต่ำสุดที่ 1,686 จุด โดยคาดกำไรต่อหุ้นเติบโต 11.04% เฉลี่ยอยู่ที่ 110.64 บาท ระดับราคาต่อกำไรสุทธิ ที่ 16.36 เท่า แนะนำ 5 หุ้นเด่น คือ BBL, CPALL, IVL, LH, PTT
ด้านน.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก หรือ GBS กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ได้รับผลบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปัจจัยการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 วาระแรกซึ่งมีกรอบวงเงิน 3 ล้านล้านบาท เป็นขาดดุลงบประมาณ 4.5 แสนล้านบาท บนสมมุติฐานเศรษฐกิจไทยในปี 2562 จะขยายตัวได้ 3.9-4.9% ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากการใช้จ่ายในประเทศที่โต
ต่อเนื่อง การใช้จ่ายภาคครัวเรือน การลงทุนของภาคเอกชน ความคืบหน้าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า
ปัจจัยที่ยังคงกดดันภาวะตลาดหุ้นยังคงมาจากสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้า อาทิ สหภาพยุโรป (EU) แคนาดา เม็กซิโก จีน หลังสหรัฐประกาศใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม การที่สหรัฐ อาจยกเลิกข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ทำให้ประเทศคู่ค้าเตรียมใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยมาตรการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ประกอบกับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐกลางสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1.50-1.75% เป็น 1.75-2%
นอกจากนี้ปัจจัยที่ยังคงกดดันภาวะหุ้นไทย มาจากราคาน้ำมันชะลอตัวจากระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี จากความกังวลถึงกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นรวมถึง fund flow ไหลออกต่อเนื่อง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติ เทขาย 6.8 พันล้านบาท และดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2561 ปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน จากความกังวลราคาน้ำมันราคาพืชผลเกษตรตกต่ำและกังวลปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี